ก้าวไกลแฉตัวเลขทหารติดโควิดอื้อ ซัดกองทัพยังไม่หยุดเกณฑ์ทหารก็รอดูคลัสเตอร์ใหม่ได้เลย สภาพไม่ต่างจากคลัสเตอร์เรือนจำหรือแคมป์คนงาน เปิดเอกสารกองทัพขอตัดโควต้าวัคซีนฉีดให้กำลังพล ครอบครัว และบริวาร! ถามหาความเป็นธรรม
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. และโฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะที่ติดตามนโยบายการปฏิรูปกองทัพและการเกณฑ์ทหาร ออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสื่อมวลชน พบว่าในในเดือนเมษายน 2564 พบว่ามี กำลังพลที่เป็นทหาร ครอบครัว และพลเรือนที่เกี่ยวข้องติดโควิดไปแล้วกว่า 984 ราย ต้องเข้ากักกันโรคกว่า 22,370 ราย ส่วนในเดือนพฤษภาคม พบกำลังพล ครอบครัว และพลเรือนที่เกี่ยวข้องติดเชื้อโควิดไปแล้วกว่า 136 ราย ต้องเข้ากักกันโรคกว่า 2,215 ราย โดยล่าสุด เดือนมิถุนายนพบติดเชื้อไปแล้วกว่า 271 ราย ต้องเข้ากักกันโรคอีก 5,190 ราย นี่คือตัวเลข “อย่างน้อย” ที่มีการรายงานอย่างเป็นทางการในระบบของกองทัพบกเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน กองทัพบกก็ยังเดินหน้ากระบวนการเกณฑ์ทหาร โดยผลัด 1/2564 จะเข้ากรมกองในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป โดยมีการส่งหนังสือขอโควต้าวัคซีนไปยังกรมควบคุมโรค จำนวนอย่างน้อย 60,000 โดส สำหรับทหารเกณฑ์และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง
โดยนายณัฐชากล่าวว่าถ้าหากกองทัพเห็นหัวประชาชนและไม่อยากเพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุขจริง ควรจะหยุดกระบวนการเกณฑ์ทหารก่อน อย่างน้อยก็รอจนกว่าการระบาดจะจบลง เพราะเท่าที่เห็น ปัจจุบันแม้ยังไม่เกณฑ์ทหารผลัดใหม่ก็ยังมีกำลังพลของกองทัพติดและกักตัวอยู่จำนวนไม่น้อย หากมีการเกณฑ์เพื่อรวมกลุ่มกันเกรงว่าจะกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ เช่นเดียวกับคลัสเตอร์เรือนจำ คลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง ฯลฯ
ไม่นับถึงความเหมาะสม ที่ทางการจะต้องแบ่งวัคซีนอย่างน้อย 60,000 ไปฉีดให้ทหารเกณฑ์และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง แม้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนเท่าบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า หรือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง ที่ถูกเทนัดฉีดวัคซีน และยังมีสัดส่วนการฉีดน้อยมาก
“อยากให้กองทัพเห็นหัวและเคารพประชาชนบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อย่าก่อเรื่องจนกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่เลย อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยง อะไรหยุดก่อนได้ก็ควรหยุด ไม่เช่นนั้นก็รอดูได้เลย คงจะกลายเป็นคลัสเตอร์ไม่ต่างกับเรือนจำหรือแคมป์คนงานก่อสร้าง ทั้งที่หลีกเลี่ยงได้แต่ไม่ยอมทำ ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว(24 มิถุนายน) มีรายงานข่าวว่าพบว่าค่ายภาณุรังษี กองทัพภาคที่ 1 กำลังพลหลักสูตรนายสิบทหารกองหนุน ติดเชื้อ 73 คน จาก 161 คน และทั้งเดือนโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษีพบติดเชื้อไปกว่า 107 คน จนต้องกักตัวคนที่เกี่ยวข้องอีกนับร้อยนับพัน
ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันในการสั่งปิดร้านอาหารไม่ให้นั่งทานในร้าน หรือสั่งปิดแคมป์คนงาน สั่งปิดธุรกิจกลางคืน ฯลฯ ป่านนี้ค่ายทหารก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีการระบาด แต่รัฐบาลไม่ได้สั่งปิดหรือเลื่อนออกไปก่อน อยากถามว่าความเป็นธรรมเสมอภาคอยู่ตรงไหน? กองทัพจะทำตัวเป็นแดนสนธยา เป็นดินแดนลึกลับได้รับการยกเว้นเสมอใช่หรือไม่? หนำซ้ำกำลังจะนำทหารเกณฑ์เข้าไปเพิ่มอีก
แถมยังตัดโควต้าวัคซีนไปอีกอย่างน้อย 6 หมื่นโดสเพื่อไปฉีด ทั้งที่ยังมีประชาชนและบุคลากรสาธารณสุขยังขาดวัคซีนอีกมาก จึงอยากถามหาความเป็นธรรมหรือความโปร่งใสในจุดนี้ด้วย”
โฆษกพรรคก้าวไกลยังเปิดเผยอีกว่านอกจากประเด็นเรื่องการเดินหน้าเกณฑ์ทหารและการตัดโควต้าวัคซีนโควิดแล้ว ยังมีเรื่องกองทัพบกในภาพใหญ่ ที่มีการรวมรวบรายชื่อกำลังพลที่จะฉีดวัคซีนและขอเป็นโควต้าจากรัฐบาลอีกด้วย โดยในเอกสารพบว่ามีการใช้คำว่า “ข้อมูลในการจองคิวและรับวัคซีนป้องปันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Whitelist) ของกำลังพลและครอบครัว พร้อมบริวารที่พักอาศัยในบ้านพักของทางราชการ…” จึงอยากถามว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน ทำไมประชาชนทั่วไปถึงถูกเทวัคซีนแต่บุคลากรและบริวารของกำลังพลในกองทัพบกจึงมีอภิสิทธิ์สามารถขอคิววัคซีนในลักษณะนี้ได้
นอกจากนี้ ในเอกสารดังกล่าวยังพบว่ามีการแบ่งตามลำดับความเร่งด่วนในการฉีดวัคซีน ซึ่งพบชื่อบางหน่วยงานจนทำให้เกิดคำถามว่าสมควรหรือไม่ เช่น “นักเรียนทหาร” และ “โรงเรียนนายร้อย จปร.” ซึ่งสถานะที่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากครูอาจารย์และนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาทั่วไป ที่พวกเขายังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเช่นกัน แต่นักเรียนทหารเหล่านี้กลับได้มีโอกาสจองคิวไปแล้ว
ส่วนบางลำดับก็ซ้ำซ้อนกับระบบหมอพร้อม เช่น “กำลังพลที่เกษียณอายุในวันที่ 1 ตุลาคม” นั่นคือผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี อยู่แล้ว หรือ “กำลังพลกลุ่มเสี่ยง 7 โรค” ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่รัฐบาลประกาศให้ฉีดเร่งด่วนอยู่แล้ว ทำไมต้องจัดโควต้าให้เฉพาะ ไม่รวมกับระบบปกติของประชาชนทั้งประเทศ?