เรียกได้ว่าฮือฮากันมากทีเดียว เมื่อรายการโหนกระแสวันนี้ ได้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มานั่งพูดคุย ถึงประเด็นร้อนแรงประจำสัปดาห์นี้ คือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางพิธา ได้บอกว่า จริงๆ คุ้นเคยและได้เจอกับ หนุ่ม กรรชัย บ่อยๆ ในฐานะ คุณพ่อของน้องพิพิม และคุณพ่อของน้องมายู แต่ไม่เคยได้มานั่งคุยเรื่องการเมืองกันจริงจัง วันนี้มานั่งโหนกระแส โดยได้ แอฟ ทักษอร เป็นคนช่วยติดต่อให้
-
ฝ่าด่านแรก กกต.นัดวินิจฉัย ก่อนเลือกนายก 1 วัน
นายพิธา เริ่มตอบคำถาม ถึงการฝ่าด่านนายก เริ่มจากกรณีที่ กกต.มีนัดวินิจฉัยปมถือหุ้น ITV และการขายหนังสือ ในวันที่ 12 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งในวันต่อไป วันที่ 13 ก.ค. จะมีการโหวตเลือกนายกฯ ในสภา พิธามองว่ามีความ “ผิดปกติ” พอสมควร เพราะการพิจารณาต่างๆ มันต้องมีขั้นตอนต่างๆ แต่ตนยังไม่ได้เห็นแม้แต่รายละเอียดของคำร้อง ว่าผู้ไปร้องตรวจสอบตน เขาร้องว่าอย่างไร และต้องมีการเรียกให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปให้ข้อมูล แต่เคสนี้ทุกอย่างดูรวดเร็ว ลัดขั้นตอนไปเยอะ ตรงนี้ตนก็เตรียมไปยื่นขอความเป็นธรรม แต่มองว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งอะไร เพราะมีนักการเมืองหลายคนที่โดนแบบนี้มาก่อน ตนพร้อมชี้แจงในทุกส่วน ทุกประเด็น ส่วนตอนนี้ก็ครองตัวเองให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำในส่วนที่ตัวเองทำได้ให้เต็มที่ ตามที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจ
-
รวมเสียง ส.ว. โหวตพิธาเป็นนายก
ส่วนประเด็นของการขอเสียง ส.ว. มาโหวตตนเป็นนายกฯ ต้องบอกว่ามีทิศทาง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เราได้พูดคุยกับพี่ๆ วุฒิสภา แต่ละท่านก็ไม่ได้แตกต่างจากเรา หลายคนมีความห่วงใยบ้านเมือง หลายคนเคยทำงานด้วยกันมาก่อน มีประสบการณ์การเมือง ประสบการณ์ด้านข้าราชการ ซึ่งถ้าเราผ่านการโหวตนายกฯไปได้ ก็อาจจะมีโอกาสได้ปรึกษาหารือ ทำงานเพื่อประเทศชาติไปด้วยกัน ตอนนี้ต้องทำลายกำแพงของความไม่เข้าใจกันให้ได้ อะไรที่เข้าใจไม่ตรงกันเราก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้
ส่วนเรื่องการสมมติว่า พิธา ไม่ผ่านด่านต่างๆ แล้วเพื่อไทยจะขึ้นมาตั้งรัฐบาลแทนหรือไม่ ตนมองว่าตอนนี้ไม่มีสมมติฐานไหนจะนำไปสู่การสมมติแบบนั้นได้ ไม่มีทิศทางให้ไปถึงตรงนั้นได้ ตรงนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีผลกรทบหลายอย่าง ตลาดหุ้นก็จ้องอยู่ เรื่องระหว่างประเทศก็จ้องอยู่ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มีการไปสมมติที่จะทำให้เกิดการขัดแย้งกันในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลกันเองจะดีกว่า
ตนมองว่า พี่น้องประชาชนที่เลือกตั้งมาแล้ว ได้เสียงข้างมากมาแล้ว ตนมองว่านี่คือการได้เลือกตั้งเพื่อคืนความปกติให้กับประเทศไทย ให้กับการเมืองไทย ตามระบบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ถ้าตนเป็นฝ่ายบริหารแล้วไม่ดี ก็ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าไม่ดี อีก 4 ปี ประชาชนก็ไม่เลือกตนอีก ความปกติตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ ที่ประเทศไทยต้องกลับมาเป็นให้ได้
-
จุดแข็งเดียวของก้าวไกล มาเพื่อประชาชน ไม่ได้มาเพื่อรักษาอำนาจ
ส่วนเรื่องการแบ่งตำแหน่ง หน้าที่ ให้กับคนในพรรค เรื่องนี้เป็นจุดแข็งของพรรคก้าวไกล การจะเลือกใครมาทำหน้าที่ตรงไหน ต้องผ่านการอภิปรายกันในพรรค ต้องโชว์วิสัยทัศน์ให้คนในพรรคเห็นก่อนว่า ถ้าใครจะเสนอตัวมาทำหน้าที่ไหน เขามีข้อดีอย่างไร มีประโยชน์ มีความเหมาะสมอย่างไร ถ้าคนในพรรคไม่มี เราก็ใช้คนนอกพรรคได้ ไม่เคยหวงว่าตำแหน่งนี้ต้องคนของเรา เพราะเรามาเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีข้อเสีย แต่พยายามจะเข้มงวดกับเรื่องนี้ให้เต็มที่
“เวลาเราคิด ปัญหาของกระทรวงนี้ต้องใช้คนแบบนี้ ถ้าคนในพรรคไม่มี เราก็ใช้คนนอกพรรค เพราะเราไม่ได้ต้องการจะเข้าไปเพื่อรักษาอำนาจ เพื่อต่อรองอย่างนู้นอย่างนี้ เราต้องการจะแก้ไขปัญหาจริงๆ และนี่คือจุดแข็งเดียวที่พรรคก้าวไกลมี ผมไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง ไม่ได้ความสัมพันธ์มีนายทุน ผมมีแต่ประชาชน และผมต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถ้าตรงนี้หายไป ผมไม่เหลือจุดแข็งอะไรของพรรคผมเหลือเลยนะ ผมต้องรักษาไว้ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง” พิธากล่าว
-
แก้ไขมาตรา 112
ส่วนในประเด็นที่เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายกังวลที่สุด คือนโยบายแก้ไข ม.112 นายพิธามองว่า การจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามในยุคในสมัยที่เปลี่ยนแปลง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ปัญหาไม่ให้มีการนำเอากฎหมายนี้ มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ทรงอยู่เหนือการเมือง การแก้ไขครั้งนี้ เราหวังจะใช้สภาเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย เพื่อแก้ไขปัญหาตรงนี้ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่คู่ประเทศเราต่อไปได้อย่างยิ่งยืนนาน
-
เพื่อนสนิทที่ชื่อ แอฟ ทักษอร
มาพูดถึงประเด็นเรื่องส่วนตัว เรื่องของการดูแลน้องพิพิม เมื่อคุณพ่องานเยอะแบบนี้ อยากได้ใครมาช่วยดูแลน้องพิพิมไหม เช่นเพื่อนสาวคนสนิทอย่าง “แอฟ ทักษอร” งานนี้ พิธา ตอบว่า “แอฟว่ายังไง ผมก็ว่าอย่างนั้น” ในความหมายก็คือ แอฟตอบว่าอย่างไร ก็ยังยืนยันคำตอบเดิม คือเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าสนิทสนมกันขนาดนั้น เทียบกับหนุ่ม กรรชัย เชื่อว่า พี่หนุ่มสนิทกับคุณแอฟมากกว่าอีก แต่แอฟเขาก็เล่าเรื่องของพี่หนุ่มให้ตนฟังเยอะเหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าถามลึกไปกว่านี้เลย
นอกจากนี้ยังมีแอบกระซิบถามว่า ดูละครเรื่อง “แค้น” ที่แอฟเล่นหรือเปล่า พิธาบอกว่า เวลาละครมา พิพิมกำลังจะเข้านอน ก็มีดูบ้าง แต่ไม่ได้ดูตลอด ยืนยันว่าคุณแอฟเล่นดีมาก สมกับที่ทุกคนรอคอย
พิธายังทิ้งท้าย ฝากถึงพี่ๆ ส.ว.ขอกล่าวขอบคุณ และแสดงความชื่นชมทุกท่าน ที่ยังยืนยัน ยืนหยัด ที่จะทำงานเพื่อสนองต่อเสียงของพี่น้องประชาชน ในวาระที่ท่านยังเหลืออีกประมาณ 1 ปี เราก็อาจจะได้ร่วมทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนด้วยกัน สุดท้ายเราไม่ได้แตกต่างกัน ล้วนอยากจะผลักดันสิ่งต่างๆ เพื่อประเทศไทยด้วยกัน ตนก็หวังว่าจะได้ทำงานจากความรู้ความสามารถที่ตนมี บวกกับประสบการณ์ที่พี่ๆ ส.ว.มี จะได้มาเสริมกำลังพัฒนาประเทศไปด้วยกัน