vivo X60 และ X60 Pro เวอร์ชั่น Global เผยโฉมแล้ว พร้อมขุมพลัง Snapdragon 870 ตัด Periscope ทิ้ง

Home » vivo X60 และ X60 Pro เวอร์ชั่น Global เผยโฉมแล้ว พร้อมขุมพลัง Snapdragon 870 ตัด Periscope ทิ้ง



vivo X60 และ X60 Pro เวอร์ชั่น Global เผยโฉมแล้ว พร้อมขุมพลัง Snapdragon 870 ตัด Periscope ทิ้ง

หลายเดือนก่อน vivo ได้เปิดตัว X60 Series ในประเทศจีนรกันไปแล้ว และเป็นครั้งแรกที่จับมือกับ Zeiss ในการพัฒนากล้องร่วมกัน ล่าสุดได้เปิดตัวเวอร์ชั่น Global อย่างเป็นทางการจะมีรุ่นไหนให้เลือกมาดูกันครับ

Vivo X60 Pro

x60_p2

เริ่มต้นกับรุ่นบนกันก่อนกับ vivo X60 Pro โดยมาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 870 แต่ว่าน่าเสียดายที่ตัดระบบ Periscope กล้องซูมเยอะออกไปแล้ว พร้อมกับเปลี่ยนเซนเซอร์กล้องหลังความละเอียด 48 ล้านพิกเซลให้รองรับ รูรับแสงได้ F/1.5 และมีการติดตั้ง Gimbal System ที่ทำให้ภาพนิ่งกว่าเดิม และมีการจัดการเรื่องของ Pixel และ สีสันให้ดีขึ้น

x60_p1

กล้องตัวที่ 2 จะมีมุมมองกว่า 120 องศาความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกับกล้อง Telephoto ซูมได้ 2 เท่า เท่านั้น ส่วน Periscope ในตลาดจีนที่เห็นก่อนหน้านี้ ไม่มีการใส่ในตลาดโลกนะครับ

มาถึงหน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว LTM Display ที่มีการจับมือกับ Qualcomm ในการพัฒนาจอแบบ AMOLED ที่มี Refresh Rate 120 Hz, Touch Sampling Rate ที่ 240Hz แต่ความละเอียดยังคงเป็น 1080p+ แต่ว่าสิ่งที่ดีคือการรองรับสีสันแบบ HDR10+ สามารถใช้ดู Netflix ได้ดี แต่น่าเสียดายว่าไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แต่มีตัวแปลงมาให้ หรือจะใช้ Bluetooth ก็ได้

x60_p13

ช่องเสียบ USB-C เวอร์ชั่น 2.0 พร้อมกับรองรับ 5G ไม่สามารถเพิ่มความจำได้ แต่ติดตั้งความจำมาทั้ง RAM 12 / 256GB ส่วนระบบปฏิบัติการของ เวอร์ชั่นทั่วโลกใช้ Android 11 พร้อมกับ FunTouch OS 11.1 ยังไม่ได้ใช้ Origin OS เมหือนกับในประเทศจีน ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 4200 mAh พร้อมกับ กำลังชาร์จไฟจาก Adapter กำลัง 33W มาให้เหมือนเดิม โดยมือถือรุ่นนี้เคาะราคาโดยประมาณคือ 800 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 24,xxx บาท

Vivo X60

x60_p5

มาถึงรุ่นธรรมดากันบ้าง ยงัคงมีดีไซน์เหมือนกับรุ่นท็อปรวมถึงสีสันของเครื่องเช่นเดียวกัน จะคล้ายกับรุ่น Pro ทั้งหน้าจอที่มีสเปกเดียวกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่กล้องหลักมีรูรับแสง F/1.8 แต่ยังคงได้ใช้เลนส์ ZEISS เหมือนเดิม ส่วนแบตเตอรี่เพิ่มขนาดเป็น 4300 mAh และกำลังชาร์จเท่าเดิม ขุมพลังก็เท่ากัน สีสันจะมีเลือกทั้ง Midnight Black และ Shimmer Blue

ส่วนราคานั้นจะเหลือที่ 655 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 20,3xx บาท ส่วนราคาในเมืองไทยจะอยู่ที่เท่าไหร่ ต้องติดตามกันต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ