สวัสดีครับ^^ กลับมาพบกันพวกเราทีมงาน Sanook! Hitech และบทความรีวิวสินค้าใหม่ ๆ กันอีกครั้ง สำหรับบทความนี้เป็นคิวของนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) รุ่นใหม่ล่าสุดของซัมซุง อย่างเจ้า Samsung Galaxy Watch4 Classic ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปพร้อม ๆ กับ Samsung Galaxy Z Flip3 5G, Samsung Galaxy Z Fold3 5G และหูฟัง Samsung Galaxy Buds2 นั้นเอง
โดย Galaxy Watch4 มาพร้อมกันทั้งหมด 2 รุ่นคือ Samsung Galaxy Watch4 Classic และ Samsung Galaxy Watch4 และในบทความรีวิวนี้เราได้รุ่น Samsung Galaxy Watch4 Classic ขนาด 46 มิลลิเมตร สีดำ[Black] มารีวิวครับ
แกะกล่องส่องอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
- ตัวเรือน Samsung Galaxy Watch4 Classic
- สายชาร์จไฟแบบไร้สาย
- คู่มือการใช้งาน
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Samsung Galaxy Watch4 Classic เรียบหรู… คลาสสิคตามแบบฉบับของสมาร์ทวอทช์รุ่น Flagship
เริ่มกันที่ส่วนของหน้าจอ Galaxy Watch4 มาพร้อมหน้าจอแบบ Super AMOLED กระจกเป็น Gorilla® Glass DX ซึ่งรุ่นที่เราได้มารีวิวมีขนาดหน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตร 45.5 x 45.5 x 11 มิลลิเมตร และหนักเพียงแค่ 52 กรัม
แน่นอนว่าหากเป็นฝั่ง iOS เราต้องยกคะแนนเรื่องนี้ให้กับ Apple Watch Series แต่หากบอกให้บอกว่ารุ่นไหนฝั่ง Android คือที่หนึ่งในดวงใจแล้วละก็เราขอยกคะแนนทั้งหมดให้กับสมาร์ทวอทช์ของ Samsung ไปทั้งใจ ด้วยดีไซน์และนวัตกรรมที่ถูกจัดมาให้มันเป็นมากกว่าแกดเจ็ต ทำให้สมาร์ทวอทช์ของ Samsung สามารถใช้งานได้ลงตัวกับเครื่องแต่งกายและตอบโจทย์การใช้งานในทุก Lifestyle ได้จริง ๆ
Galaxy Watch4 Classic มาพร้อมกับขอบตัวเรือนที่หมุนได้และหน้าจอที่มีเอกลักษณ์ของ Galaxy Watch4 Classic มี ดีไซน์ที่ละเอียดอ่อนนำมาซึ่งความงดงามบนข้อมือของคุณ และวัสดุบอดี้เป็นอะลูมิเนียม มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น 5ATM+IP68 เท่ากับกันฝุ่นได้ดี และกันน้ำได้ลึกสุดที่ระดับ 50 เมตร
บริเวณตัวเรือนด้านขวาจะมีปุ่มกด 2 ปุ่ม ซึ่งปุ่มบนจะเป็นปุ่ม “หน้าหลัก” ส่วนปุ่มล่างเป็นปุ่ม “ย้อนกลับ” และยังทำหน้าที่เข้าสู่ Quick Meun ที่ค่าเริ่มต้นคือการออกกำลังกาย
ส่วนตัวเรือนด้านซ้ายไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานอะไรครับ… แต่เป็นที่อยู่ของลำโพง สำหรับไว้ฟังเสียงสนทนา
ส่วนของสายทำมาจากวัสดุ Fluoroelastomer แข็งแรง ขนาดสาย 20 มิลลิเมตร สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายๆ ส่วนขนาดสายที่มีขายคือ S/M ความยาว 130-190 มิลลิเมตร กับ M/L ความยาว 145-205 มิลลิเมตร ทำให้สายรัดข้อมือนั้นทนทานและทนต่อเหงื่อ รู้สึกกระชับตลอดเวลา เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งที่เป็นคุณ แต่ถ้าเบื่อสายแบบนี้ก็สามารถหาสายนาฬิกาที่มีขนาดเท่ากันมาสลับได้เลยครับ
สำหรับการเปลี่ยนสายก็ทำได้ไม่ยากครับ (ถ้ามีเล็บ) เมื่อเราพลิกตัวเรือนด้านหลังขึ้นมาจะเห็นสลักเล็ก ๆ สำหรับล็อกสาย แค่ใช้ปลายเล็บกันก็สามารถเปลี่ยนสายได้แล้ว
มาต่อกันที่ส่วนของด้านหลังของนาฬิกาเป็นเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์วัดร่างกายอย่าง BioActive Sensor ที่ผ่านการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงแต่ยังคงประสิทธิภาพการตรวจวัดที่แม่นยำ พร้อมความสามารถตรวจจับข้อมูลได้ถึง 2,400 จุด โดยใช้เวลาในการตรวจวัดเพียง 15 วินาที
โดยทำงานร่วมกับชิปประมวลผลเพื่อประมวลค่าด้านสุขภาพได้อย่างละเอียดแบบ 3-in-1 ซึ่งได้แก่ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคอล (Optical Heart Rate) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrical Heart) และการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายหรือ BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามระดับความดันโลหิต ตรวจจับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AFib)หรือเช็คระดับออกซิเจนในเลือดและครั้งแรกกับความสามารถในการวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย ได้โดยตรงจากสมาร์ทวอทช์บนข้อมือได้เลยครับ
เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและทำงานผ่านแอปพลิเคชัน
Samsung Galaxy Watch4 ทุกรุ่นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Wear OS + One UI Watch ทำให้มันจะดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่การใช้งานเหมือนเดิม Galaxy Watch รุ่นก่อน จนกระทั่งเลื่อนขึ้นมาดูเมนูข้างในที่จัดเรียงแบบเดียวกับ Huawei Watch 3 รวมถึง Apple Watch มันเข้าใจง่ายและใช้งานง่ายกว่าแค่แตะลงไปเท่านั้นเอง แต่ว่าใครจะเอามาเชื่อมกับ iPhone นั้น ทีมได้ทดลองแล้ว พบว่าไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีโปรแกรมรองรับนั่นเอง
ส่วนการใช้งานง่ายโดยการแตะไม่ว่าจะเป็น
- เลื่อนจากบนลงล่างเป็นส่วนการแจ้งเตือน
- เลื่อนไปทางซ้าย = การแจ้งเตือนจากมือถือ
- เลื่อนไปทางขวา = Widget ที่เราได้เลือกไว้สามารถเพิ่มหรือลดได้
ข้อดีของการที่มาใช้ Wear OS คือ Application ของตัว Smart Watch จะมีการใช้งานได้ทั้ง Google Play Store และ Samsung Galaxy Apps Store และให้มือถือติดตั้ง Apps ผ่าน Smart Watch ได้ ทั้งนี้การควบคุม Smart Watch ยังคงอยู่ใน Galaxy Wearable เท่านั้น ไม่ต้องลงโปรแกรมของ Google แต่อย่างใด และใช้งานได้กับมือถือระบบปฏิบัติการ Android เท่านั้น ส่วนมือถือ Samsung จะพิเศษกว่าคือ ฟีเจอร์อย่างการวัดค่าคลื่นหัวใจหรือ ECG จะสามารถใช้งานได้ (เฉพาะมือถือ Samsung ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 9 ขึ้นไป) ส่วนระบบ eSIM สามารถลงทะเบียนผ่าน Galaxy Wearable บนมือถือได้เลย ไม่ต้องเดินทางไปที่ผู้ให้บริการให้เสียเวลา
นอกจากนี้หากคุณมีการใช้งาน Apps นำทาง ก็สามารถใช้แสดงผลบน Smart Watch ได้เลย และยังสามารถรับสายคุยสายพร้อมกับส่งข้อความไปใน Messenger ได้ด้วยแต่ว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องภาษาอยู่บ้าง เพราะภาษาไทยยังไม่รองรับ ต้องรอไปก่อนนะ ยกเว้นแต่จะลองติดตั้ง Gboard สำหรับ Smart Watch ก็จะหมดห่วงเรื่องการพิมพ์ไปได้มาก
ส่วนการ Capture Screen ของนาฬิกาสามารถทำได้ผ่านการกดปุ่มทั้ง 2 ของนาฬิกาพร้อมกันแล้วปล่อย อย่ากดแชร์นะครับ
ฟีเจอร์ติดตามข้อมูลสุขภาพ และการออกกำลังกาย ตัวช่วยคู่ใจในการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร กับฟีเจอร์ต่างๆ
นอกจากเรื่องของระบบปฏิบัติการที่ว่ามาแล้วในตัว One UI Watch ก็ยังรองรับการเชื่อมต่อกับมือถือช่วยให้ปรับเวลาอัตโนมัติ, รองรับการสั่งงานผ่าน Bixby Voice หรือ Google Assistant ได้แล้วแต่จะตั้ง และยังมี Gesture Control ทั้งหมด 3 ท่าได้แก่
- โบกมือขึ้นลง 2 ครั้ง = รับสาย
- หมุนข้อมือ 2 ครั้ง = ตัดสาย, ปิดการแจ้งเตือน และการปลุก
- ทำท่าเหมือนเคาะประตู 2 ครั้ง = เลือกคำสั่งเพิ่มเติมได้ (กำลังจะเปิดให้ใช้งานภายในเดือน พฤศจิกายน นี้)
และยังไม่หมดครับ เพราะยังมีฟีเจอร์ Auto Switch ควบคุมการทำงานของหูฟัง Samsung Galaxy Buds Live, Buds Pro และ Buds 2 สลับระหว่างมือถือ, Tablet หรือจะตั้งค่าฟังเพลงจาก Smart Watch ได้ ถ้ามีการต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต หรือ ใส่เพลงไว้ในเครื่องที่เดี๋ยวนี้มีคนทำแต่น้อยลงแล้ว ทั้งหมดนี้สามารถควบคุมผ่าน Apps Buds ใน Smart Watch
ทั้งหมดนี้ที่ทำได้เพราะขุมพลัง Exynos W920 ขนาดจิ๋วเพียง 5 นาโนเมตร ทำให้ทำงานได้อย่างลงตัวและนอกจากนี้ยังให้ความจำภายใน 16GB และ RAM 1.5GB นั่นเอง
รองรับการใช้งานโทรแทนมือถือ
ในบางออฟชั่นของ Samsung Galaxy Watch 4 ติดตั้งระบบ eSIM มาให้คือเราสามารถใช้งานลงทะเบียนและติดตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องไปศูนย์บริการที่ทำได้แล้วคือทุกค่ายที่รองรับจะเป็น AIS, dtac (สามารถใช้เบอร์เดิมเพิ่ม eSIM ได้ทันที) และ Truemove H(จะต้องเปิดเบอร์ใหม่เท่านั้นถึงจะใช้งานได้) การลงทะเบียนทำผ่านที่ Apps Galaxy Wearable นั่นเอง
ฟีเจอร์ในการบอกสุขภาพของคุณ
ในเรื่องฟีเจอร์การบอกสุขภาพนั้น Samsung ได้พัฒนาให้มีเซนเซอร์วัดร่างกายตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Samsung BioActive มันคือการรวม 3 เซนเซอร์ไว้ภายในประกอบด้วย
- Optical Head Rate Sensor (PPG)
- Electrical Heart Rate Sensor (ECG)
- Bioelectrical Impedance Analysis Sensor (BIA)
ดังนั้นในนาฬิการุ่นนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ดูแลและรายงานสุขภาพของคุณครบไม่ว่าจะเป็น
- ระบบวัดมวลร่างกายหรือ Body Composition Analysis ซึ่งระบบสามารถบอกค่าเกี่ยวกับร่างกายวิธีการคือ ย้ายนาฬิกาให้อยู่เลยจากข้อมือลงไปประมาณ 2 นิ้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางแตะที่ปุ่มของนาฬิกาค้างไว้ 15 วินาทีหรือจนกว่าระบบจะประมวลผลจบ โดยมีการบอกข้อมูลครบทั้ง
- Skeletal Muscle หรือ มวลกล้ามเนื้อ
- Fat Mass ไขมันช่วงท้อง
- Body Fat ไขมันทั้งร่างกาย
- BMI ดัชนีมวลร่างกาย
- Body Water ระดับน้ำในร่างกาย
- SpO2 ระบบวัดค่า Oxygen ในเลือดของคุณที่บอกครบถ้วน
- ระบบวัดการนอนที่มีเซนเซอร์จับพฤติการณ์ได้แก่
- Snoring Detection ระบบจับการนอนกรนของคุณว่าระยะเวลาเท่าไหร่ หลักการทำงานคือ คุณต้องเสียบชาร์จมือถือไว้ข้างเตียงวางแนวราบ ไม่มีอะไรบังไมโครโฟน หลังจากนั้นเปิดโหมดการนอนหลับในนาฬิกาเพื่อให้นาฬิกาช่วยจับการนอน และการแสดงผลจะเป็นคลื่นเสียงใน Application Samsung Health
- Blood Oxygen Tracking วัดระดับ Oxygen ในเลือดระหว่างการนอน และคะแนนการหลับนอนที่แสดงผลละเอียดผ่านทาง Samsung Health ซึ่งทั้งหมดต้องจับแม่นยำขึ้นเมื่อคุณใส่บริเวณใกล้ข้อมือเท่านั้น
- ฟีเจอร์การออกกำลังกายส่วนนี้มีอยู่แล้วแต่จะเพิ่ม Group Challenge และ Fitness Routines แถมยังมีฟีเจอร์การออกกำลังกายผ่าน Smart TV โดยแสดงผลเวลาและการออกกำลังกายผ่านทีวี
- มีฟีเจอร์ ECG และ ฟีเจอร์แจ้งเตือนการล้ม (Fall Detection) ทั้งนี้ฟีเจอร์นี้จะทำงานกับ Samsung Galaxy ที่เป็นเวอร์ชั่น Android 9.0 ขึ้นไป
แอปพลิเคชั่นที่ทำงานร่วมกับ Smart Watch
สำหรับ Samsung Galaxy Watch 4 นั้นจะมี Apps ทำงานร่วมกันทั้งหมด 2 ตัวได้แก่ Galaxy Wearable ไว้ควบคุม Smart Watch สามารถปรับแต่งนาฬิกา, Update Firmware, ติดตั้ง Apps, ตั้งค่าต่างๆ และ Update Firmware ของ Smart Watch ได้ และถ้าอยากดาวน์โหลด Apps เพิ่มสามารถกดได้ที่ Google Play Store ได้เลย
ส่วนอีกตัวคือ Samsung Health เก็บผลทุกอย่างเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่การออกกำลังกายไปจนถึงการหลับของคุณนั่นเอง
แบตฯ ก็สำคัญสำหรับสมาร์ทวอทช์ที่ดี แบตเตอรี่ต้องใช้งานต่อเนื่อง อยู่ได้ตลอดวัน
ด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมแต่ได้ขุมพลังเล็กลงส่งผลให้การใช้พลังงานนั้นลดลงจากเดิม โดยปกติแล้วในรุ่นที่ผ่านมาจะใช้งานได้ 1 วันหมด แต่ถ้าเป็นรุ่นนี้ ลากต่อไปได้อีก 1 คืนได้อย่างสบาย แต่ถ้ามีการแจ้งเตือนเข้ามาเยอะ ก็จะหมดเร็วเหมือนกัน แต่ Samsung เคลมว่ารุ่นขนาด 44 และ 46 มิลลิเมตรจะใช้งานได้นานสุด 40 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ารุ่นเดิมแล้วล่ะ และมีระบบ Power Saving Mode ช่วยประหยัดไฟในยามจำเป็น
Galaxy Watch4 series ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 40 ชั่วโมงพร้อมรองรับระบบการชาร์จเร็ว ที่เพียงแค่การชาร์จเป็นเวลา 30 นาที ก็ทำให้ใช้งานได้เพิ่มถึง 10 ชั่วโมง การชาร์จไฟนั้นง่ายมาก จะมีแทนสำหรับวางชาร์จไฟทำให้คุณสะดวกในการชาร์จไฟได้ง่ายมากขึ้น ผ่านระบบ Wireless Charging และยังรองรับไฟผ่านมือถือในยามจำเป็นอีกด้วย
สรุปให้ฟังหลังจากได้ใส่ Samsung Galaxy Watch4 Classic ใช้งานในชีวิตจริงๆ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า Samsung Galaxy Watch4 Classic ถูกออกแบบและดีไซน์มาให้มากกว่าเป็นแค่แกดเจ็ต ด้วยดีไซน์ที่ทำออกมาได้ล้ำสมัย ทำให้ไม่ว่าจะใส่ไปออกกำลังกายหรือจะใส่ออกงาน Galaxy Watch4 Classic ก็ทำออกมาได้ดี
เราใส่ติดข้อมือมากและด้วยรุ่นที่ได้คือตัวเรือนและสายสีดำทำให้เราใส่กับเสื้อผ้าอะไรก็ลงตัว ช่วยให้คุณสวมใส่ได้ทุกโอกาส ไม่ว่าคุณจะใส่ไปออกกำลังกาย ใส่ไปทำงาน หรือใส่ไปเที่ยว มันก็เหมาะลงตัวเรียกว่าจะแต่งตัวแบบไหนก็ได้หมด… แถมให้ฟิลลิ่งการสวมใส่เหมือนกับเราใส่นาฬิกาจริง ๆ
สำหรับฟีเจอร์พื้นฐานที่ได้ทดลองใช้งานจริงๆ เราว่า Galaxy Watch4 Classic วิเคราะห์ออกมาได้ดีเลยครับ ส่วนตัวชอบการวัดออกซิเจนในกระแสเลือด (SpO2) และการวัดการกรนมาก ๆ อย่างน้อยก็ทำให้สบายใจได้ระดับหนึ่งแหละหากมันบอกอย่างน้อยก็ประเมินเรื่องของอาการป่วยโควิด-19 เบื้องต้นได้
และอีกฟีเจอร์ที่เราว่าหลาย ๆ คนกำลังมองหาคือ “Snoring Detection” หรือการตรวจจับว่าเรานอนกรนหรือไม่นั้นเอง…เราลองแล้วนะ คือดีย์มาก เรียกได้ว่ารุ่นนี้ให้ผลการวิเคราะห์การนอนหลับที่สมบูรณ์แบบที่สุดใน Galaxy Watch เท่าที่เคยมีมา
ด้วยพลังข้อมูลอันชาญฉลาด ทำให้สมาร์ทวอทช์เรือนนี้เสมือนเป็นผู้ช่วยด้านสุขภาพและการออกกำลังได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมบันทึกรายละเอียดทั้งหมดไว้ในแอปพลิเคชั่น HUAWEI Health แบบครบถ้วน
และหากใครกังวลเรื่องการใส่ Galaxy Watch4 Classic เป็นระยะเวลานาน ๆ ขอบอกเลยว่าฟีลการสวมใส่โดยรวมของ Galaxy Watch4 ถือว่าดีมากๆ ทั้งตัวนาฬิกามีความเบา สายที่ติดกับนาฬิกามาก็จัดว่าดีใช้วัสดุที่ระบายอากาศไม่อับ และแม้จะโดนน้ำหรือโดนเหงื่อบ่อย ๆ ก็ไม่ทำให้รู้สึกระคายสามารถใส่ติดข้อมือได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกรำคาญใส่กระชับติดข้อมือสุด ^^
สำหรับใครที่อยากลองไปเชิญจับจองกันได้ โดยราคาในไทยมีดังนี้
หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร (BLT) ในสีดำและพิงค์โกลด์ วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท (BLT) และหน้าปัดขนาด 44 มิลลิเมตร มาในสีดำและสีเขียว ราคา 8,990 บาท (BLT) และ 10,900 บาท (LTE) ในขณะที่ Galaxy Watch4 Classic ได้ออกแบบมาเพื่อผู้ที่แสวงหาความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ด้วยรูปลักษณ์หน้าปัดแบบหมุนที่หลายคนชื่นชอบ ซึ่งวางจำหน่ายในรุ่น หน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตร กับตัวเลือกสีดำและ สีเงินสุดหรู ในราคา 11,900 บาท (BLT) และ 13,900 บาท (LTE) ในตัวเลือกสีดำ