โรมรันกันมา 1 เดือนเต็ม ตั้งแต่ 14 มิ.ย. จนกระทั่งเหลือ “เกมสุดท้าย” นัดชี้แชมป์ เกมชิงชนะเลิศ ยูโร 2024 วันอาทิตย์ 14 ก.ค. นี้ ที่จะได้รู้กันไปว่าใครกันจะเป็นเจ้ายุโรป ระหว่าง สเปน กับ อังกฤษ ที่สนาม โอลิมเปียสตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน ซึ่งโอกาสนี้ เราถือโอกาสจับยามสามตา จนได้มาซึ่ง (อีก) 5 เหตุผล ที่โทรฟี่แชมป์จะตกไปอยู่ในมือ “กระทิงดุ” เป็นสมัยที่ 4 สมกับที่ยิงยาวชนะมารวดตลอดทัวร์นาเมนต์
เพราะ สเปน ข่ม อังกฤษ ตลอดช่วงหลัง
อาจใช่ที่การเจอกันหนล่าสุด อังกฤษ กำชัยเหนือ สเปน ได้ 3-2 ใน ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อปี 2018 รวมถึงผลการพบกันภาพรวม อังกฤษ ก็เหนือกว่าด้วยการชนะ 14 เสมอ 3 (สเปน ชนะ 10)
แต่ถ้าดูกันใน “ระยะหลัง” ประมาณ 20 ปีมานี้
สเปน เป็นฝ่ายข่ม อังกฤษ ชัดเจน
- 2004 (อุ่นเครื่อง) สเปน ชนะ 1-0
2007 (อุ่นเครื่อง) สเปน ชนะ 1-0
2009 (อุ่นเครื่อง) สเปน ชนะ 2-0
2011 (อุ่นเครื่อง) อังกฤษ ชนะ 1-0
2015 (อุ่นเครื่อง) สเปน ชนะ 2-0
2016 (อุ่นเครื่อง) เสมอ 2-2
2018 (เนชั่นส์ลีก) สเปน ชนะ 2-1
2018 (เนชั่นส์ลีก) อังกฤษ ชนะ 3-2
8 เกมหลังในระยะ 20 ปี สเปน ชนะถึง 5 ที่เหลือเสมอ 1 และ อังกฤษ ชนะได้แค่ 2 เท่านั้นเอง
เมื่อทรงมาลักษณะนี้ ชัยชนะครั้งที่ 6 จะหลุดมือ สเปน ไปได้อย่างไร
England v Spain – UEFA Nations League A / Catherine Ivill/GettyImages
เพราะ อังกฤษ มี “จุดตาย” สำคัญ
แรกสุดคือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่มีเรื่องให้ตำหนิหลายอย่าง และชัดเจนว่ามาถึงตรงนี้ได้ เพราะโชคดวงส่งเสริมเป็นสำคัญ
ถัดมาก็คือ อังกฤษ ก็ยังคงเป็น อังกฤษ อยู่นั่นแหละ
ว่าในขณะที่เกมรุกจะแพรวพราวขนาดไหนอย่างไร เกมรับก็เป็น “จุดตาย” อยู่วันยังค่ำ
ข้อเท็จจริงฟ้องว่า ตลอดทั้ง 3 รอบน็อกเอาต์ ยูโร 2024 ก่อนนี้ อังกฤษ โดนคู่แข่งเจาะประตู 1-0 ก่อน “ทุกนัด”
- อีวาน ชรานซ์ ยิงให้ สโลวาเกีย นำ อังกฤษ นาทีที่ 25
บรีล เอ็มโบโล่ ยิงให้ สวิตเซอร์แลนด์ นำ อังกฤษ นาทีที่ 75
ชาฟี ซิมอนส์ ยิงให้ เนเธอร์แลนด์ นำ อังกฤษ ตั้งแต่นาทีที่ 7
เมื่อเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อน ตลอดทุกเกมหลังจากนั้น อังกฤษ ก็ต้องพยายามมากขึ้นเป็นพิเศษเพื่อทวงคืน และแต่ละเกม พวกเขาก็ใช้โชคใช้ดวง Rode their luck มาตลอดๆ
แต่นี่คือนัดชิงชนะเลิศแล้ว และโดยเฉพาะว่าการพบกับทีมคุณภาพล้นแก้วอย่าง สเปน
อีกสักนัดสิ…ลองปล่อยให้ สเปน เป็นฝ่ายขึ้นนำ 1-0 แล้วคอยดูว่าเกมจะจบลงแบบไหน
Netherlands v England: Semi-Final – UEFA EURO 2024 / Alex Livesey/GettyImages
เพราะชั่วโมงนี้ เป็นของ “ยามาล”
ในขณะที่ อังกฤษ มีเพชรเม็ดงามอย่าง ค็อบบี้ เมนู ดูแลเกมกลางสนาม
สเปน ก็มี “เพชรน้ำงามกว่า” อย่าง ลามีน ยามาล เป็นตัวชูโรง ทีเด็ดทีขาดริมเส้นที่เกมรับทุกคู่แข่งไม่อาจประมาทได้
1 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ แค่นี้ก็มากพอแล้วที่เจ้าหนูวัย 17 (เกิดวันนี้ 13 ก.ค.) จะคว้ารางวัลแข้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่ง ยูโร 2024 ไปครอง
แต่บางที อาจมีเพิ่มเป็นสัก 2 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ ก็ได้–ใครจะรู้
เพราะชั่วโมงนี้ จะหาใครแรงเท่า ยามาล คงถือว่ายากยิ่ง
และที่สำคัญ สเปน ยังไม่ได้มีดีแค่ ยามาล คนเดียวน่ะสิ
- อัลบาโร่ โมราต้า เห็นทื่อๆ แต่เก็บบอลได้ ประสานเกมดี ลูกประสบการณ์เหลือๆ
นิโก้ วิลเลี่ยมส์ อีกคนที่หาตัวจับยาก ปรู๊ดปร๊าดที่ริมเส้นซ้าย
ดานี่ โอลโม่ พร้อมสอดเข้าทำจากแถวสอง คุณภาพสูงทั้งยิงทั้งจ่าย
ฟาเบียน รุยซ์ ตัวเชื่อมเกมเทคนิคจัดจ้าน ใครมีไว้สบายไปแปดอย่าง
โรดรี้ ตัวกำกับเกมแดนกลาง อุดมประโยชน์ทั้งรุกรับ
อีกทั้ง ดานี่ การ์บาฆัล กับ โรแบ็ง เลอ นอร์กม็องด์ ก็พ้นโทษแบนกลับมา ด้วยสภาพฟิตปั๋ง พักชาร์จแบตมาเต็ม
สิงโตก็สิงโต…จะเหลืออะไร
Spain v France: Semi-Final – UEFA EURO 2024 / Visionhaus/GettyImages
เพราะ “แฮร์รี่ เคน”
รองแชมป์ แคปปิตอล วัน คัพ 2015
รองแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2016/17
รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019
รองแชมป์ ยูโร 2020
รองแชมป์ คาราบาว คัพ 2021
รองแชมป์ เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ 2023
รองแชมป์ บุนเดสลีกา 2023/24
เพราะเหมือนฟ้าจะลิขิตแล้วว่าให้ แฮร์รี่ เคน เป็น “ตัวทำประตู” ไม่ได้เป็นตัว “ชูถ้วยแชมป์”
เป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง นักสะสมความเศร้าที่เขาบอกไว้
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เข้าชิงกี่รายการก็แล้วแต่ ไม่พ้นจบที่รองแชมป์
ชัดสุดคือ บาเยิร์น มิวนิค ผงาดครองความยิ่งใหญ่แห่ง บุนเดสลีกา มาอย่างยาวนานถึง 11 ปีติดต่อกัน
พอ แฮร์รี่ เคน ก้าวเข้าไปเท่านั้นแหละ หล่นพรวดลงที่ 3 และแชมป์กลายเป็นของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่กี่สิบกี่ร้อยปี ไม่เคยขึ้นบัลลังก์
เอาเลย… สเปน คงยินดีให้ แฮร์รี่ เคน กระทุ้งตาข่ายพวกเขาสักลูกสองลูก ปิดทัวร์นาเมนต์ลงโดยที่ เคน กลับบ้านไปพร้อมโทรฟี่รองเท้าทองคำ ดาวซัลโว ยูโร 2024
แต่แลกกับชัยชนะของ สเปน โอเคนะ
England v Slovakia: Round of 16 – UEFA EURO 2024 / Jürgen Fromme – firo sportphoto/GettyImages
เพราะบางอย่างที่ “อธิบายไม่ได้”
- ฟุตบอลโลก 2002 : ดรีมทีม โดนฟรีคิกผีจับยัดของ โรนัลดินโญ่
ยูโร 2004 : แพ้จุดโทษ โปรตุเกส รอบ 8 ทีม
ฟุตบอลโลก 2006 : แพ้จุดโทษ โปรตุเกส รอบ 8 ทีม ซ้ำอีก
ยูโร 2008 : ตกรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 2010 : แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยิงเข้าแล้วแต่ไม่ได้ สุดท้ายแพ้ เยอรมนี 1-4 รอบสอง
ยูโร 2012 : แพ้จุดโทษ อิตาลี รอบ 8 ทีม
ฟุตบอลโลก 2014 : เป็นไปได้ไงว่า ไม่ชนะใครเลย (เสมอ 1 แพ้ 2) จนตกรอบแรก
ยูโร 2016 : พลิกแพ้ทีมอย่าง ไอซ์แลนด์ 1-2 ตกรอบ 16 ทีม
ฟุตบอลโลก 2018 : ต่อเวลาแพ้ โครเอเชีย ทั้งที่ขึ้นนำก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรก
ยูโร 2020 : แพ้จุดโทษ อิตาลี นัดชิง
ฟุตบอลโลก 2022 : แฮร์รี่ เคน กดจุดโทษท้ายเกมข้ามคาน แพ้ ฝรั่งเศส 1-2 รอบ 8 ทีม
ไม่รู้เหมือนกันแหละว่าเป็นเพราะอาถรรพ์ เพราะต้องคำสาป หรือเพราะไม่ได้ไหว้ศาลตายายก่อนลงเตะ
แต่อะไรบางอย่างนั่นทำให้ อังกฤษ ไม่อาจไปถึงบัลลังก์แชมป์เมเจอร์รายการใดได้ มาตั้งแต่การครองแชมป์โลกหนแรกและหนเดียวของขุนพลรุ่นคุณตาย่าทวด ในปี 1966 หรือเมื่อ 58 ปีมาแล้ว และมักตกรอบแบบ “อะไรกันฟะ” ในแทบทุกครั้งไป
ก็ด้วยทรงนี้ที่เป็นมา เชื่อไหมล่ะว่าเดี๋ยวมันก็จะมี “บางอย่าง” เกิดขึ้นที่ โอลิมเปีย สตาดิโอน วันอาทิตย์นี้
อาจเป็นใบแดงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว, จุดโทษที่ค้านสายตา, การพลาดจุดโทษที่นำมาซึ่งหายนะ หรือความผิดพลาดระดับอนุบาล หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ในท้ายที่สุด แชมป์จะตกเป็นของ สเปน
ด้วยเพราะอะไรไม่รู้ อะไรบางอย่างที่ ‘อธิบายไม่ได้’ นั่นเอง…
Spain v France Semi-Final – UEFA EURO 2024 / Anadolu/GettyImages