คืนวันเสาร์ที่ 10 เมษายนนี้ เวลา 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ฟุตบอลลาลีกา สเปน มีคู่ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ที่ทั่วโลกรอคอยอย่าง เรอัล มาดริด ที่จะเปิดบ้านพบกับ บาร์เซโลน่า หรือที่แฟนฟุตบอลรู้จักกันในนามของ “เอล กลาซิโก้”
การพบกันของ 2 สโมสรมหาอำนาจในวงการฟุตบอลของประเทศ เป็นมากกว่าเกมฟุตบอลธรรมดาๆ เพราะมีเรื่องความขัดแย้งทางด้านประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของแคว้นคาตาลัน กับมหานครมาดริดมาอย่างยาวนาน
ทั้งคู่ต่างต้องการชัยชนะในนัดนี้ เพื่อแซงขึ้นจ่าฝูงชั่วคราว และเป็นการกดดัน แอตเลติโก้ มาดริด ที่มีโปรแกรมออกไปเยือน เรอัล เบติส ในวันอาทิตย์ ซีซั่นนี้ถือเป็นซีซั่นที่ 3 ทีมยักษ์ใหญ่ ลุ้นแชมป์กันอย่างสนุก เบียดกันนัดต่อนัด
1. ผลงานโดยภาพรวม
เรอัล มาดริด หนึ่งเดียวจากสเปน ที่ยังอยู่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงแรกๆ ของฤดูกาล ผลงานไม่ดีเท่าที่ควร แพ้ไป 3 จาก 10 นัดแรก แต่ 19 นัดหลังจากนั้น พวกเขาแพ้เพียงแค่เกมเดียว และไม่แพ้ใครใน 8 นัดหลังสุด (ชนะ 6 เสมอ 2)
ขณะที่ บาร์เซโลน่า ช่วงออกสตาร์ทซีซั่น ฟอร์มการเล่นยังไม่เข้าที่ แพ้ไปถึง 4 จาก 15 เกมแรก หนึ่งในนั้นคือการแพ้ “ราชันชุดขาว” คาบ้าน 1-3 แต่หลังจากเข้าสู่ปี 2021 “เจ้าบุญทุ่ม” พลิกฟอร์มสุดยอด ชนะได้ถึง 13 จาก 14 นัดหลังสุด
2. ปัญหาเรื่องตัวผู้เล่น
ทีมของ ซีเนอดีน ซีดาน จะไม่สามารถใช้งาน เซร์คิโอ รามอส ที่บาดเจ็บ, ราฟาเอล วาราน ติดโควิด-19 และยังต้องรอเช็กความฟิตของ โทนี่ โครส ที่มีอาการเจ็บเล็กน้อยจากเกมยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ แต่คาดว่าน่าจะลงสนามได้
ส่วนทีมของ โรนัลด์ คูมัน ได้เปรียบเรื่องสภาพร่างกาย เพราะไม่มีโปรแกรมเตะช่วงกลางสัปดาห์ แต่จะยังไม่มี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ อันซู ฟาติ ที่เจ็บยาว ส่วน เคราร์ด ปิเก้ ยังมีอาการบาดเจ็บที่เข่า ต้องรอทดสอบความฟิตว่าผ่านหรือไม่
3. แผนการเล่นที่คาด
ซีดาน จะเน้นแผนการเล่น 4-3-3 ซึ่งถือเป็นสูตรถนัดของเขา แต่ในบางครั้ง ก็มีความยืดหยุ่น โดยใช้แผน “หลังสาม” เหมือนกับ บาร์เซโลน่า คาดว่าเทรนเนอร์วัย 49 ปี จะยังคงใช้ 11 ผู้เล่นชุดเดิม จากเกมยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์
วิงแบ็ก 2 ข้าง ซีดานจะใช้ เฟอร์ลัน เมนดี้ และ ลูคัส บาซเกซ โจมตีปีกบาร์ซ่าทั้ง 2 ข้าง แผงกองกลาง 3 มิดฟิลด์ระดับโลก โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ คาเซมิโร่ อยู่กันครบ อีกทั้งต้องจับตา วินิซิอุส จูเนียร์ ที่อาจเป็นทีเด็ดในเกมนี้
มาดูทางฝั่งคูมันกันบ้าง มีแผนการเล่นที่หลากหลาย ยืดหยุ่นได้ เช่น 4-2-3-1 หรือกลับไปใช้ 4-3-3 ที่ครองความยิ่งใหญ่มายาวนาน อย่างไรก็ตาม 5 นัดหลังสุดในลาลีกา กุนซือวัย 57 ปี เริ่มเปลี่ยนมาใช้แผน “หลังสาม”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้คูมันใช้แผนแนวรับ 3 คน นั่นคือการขาดหายไปของ เคราร์ด ปิเก้ แต่สูตรนี้ก็ยังถือว่าทำได้ดี อาจจะใช้ 3-4-3, 3-4-1-2 ที่ใช้ เปดรี้ เป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือ 3-4-2-1 ที่ดัน อุสมาน เดมเบเล่ ขึ้นเป็นหน้าเป้าก็ได้
4. คีย์แมนคนสำคัญ
“เอล กลาซิโก้” ครั้งที่ 182 ในลาลีกา เป็นการพบกันระหว่าง 2 กองหน้าที่ดีที่สุดประจำทีม นั่นคือ คาริม เบนเซม่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ ซึ่งแฟนๆ ของทั้ง 2 ฝั่ง ต่างคาดหวังว่าจะเป็นผู้เล่นคนสำคัญในการนำชัยชนะมาสู่ทีม
เบนเซม่า ถือเป็นนักเตะตัวความหวังสูงสุดของราชันชุดขาวในฤดูกาลนี้ ด้วยการยิงไปแล้ว 18 ประตู จากการลงสนาม 25 นัด สำหรับสถิติในการเผชิญหน้ากับเจ้าบุญทุ่มในลาลีกา ลงสนามทั้งหมด 23 นัด ยิงได้ 6 ประตู
ขณะที่เมสซี่ ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของเจ้าบุญทุ่ม ทำไปแล้ว 23 ประตู จากการลงสนาม 27 นัด นำเป็นดาวซัลโวอยู่ในเวลานี้ ส่วนสถิติการดวลกับเรอัล มาดริด นับเฉพาะลีกสูงสุด ลงสนามทั้งหมด 28 นัด ทำได้ 18 ประตู
5. สถิติที่น่าสนใจ
– “เอล กลาซิโก้” ในประวัติศาสตร์ลาลีกา 181 ครั้งที่ผ่านมา จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 เพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้น หนล่าสุดที่ทั้งคู่เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ ต้องย้อนกลับไปในปี 2019 ที่คัมป์ นู
– เรอัล มาดริด ยิงได้อย่างน้อย 2 ประตู ในเกมลาลีกา 8 จาก 10 เกมในบ้านหลังสุด ส่วน บาร์เซโลน่า ยิงได้อย่างน้อย 2 ประตู ในเกมลาลีกานัดเยือนมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน
– คาริม เบนเซม่า ทำประตูบาร์ซ่าในลาลีกาไม่ได้มาแล้ว 9 นัดติดต่อกัน ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี่ ลงสนามเจอ เรอัล มาดริด ในลาลีกา 4 นัดหลังสุด ยิงประตู และแอสซิสต์ไม่ได้เลย