FootNote:อ่านเกม การเมือง แหลมคม ผ่านภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์

ยิ่งข่าวลือเรื่อง “ยุบสภา” ถูกปล่อยออกมากระหึ่มครึมครางมากเพียงใด ยิ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำยืนยันต่อ “อำนาจ” ที่มีอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากเพียงนั้น

ก็ดังที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ออกมารับรองว่า การยุบสภาเป็นอำนาจในมือของ “นายกรัฐมนตรี” อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หากประเมินจากการยุบสภาอย่างต่อเนื่องในยุคของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีหลายครั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ระแคะระคายมาก่อน แม้กระทั่งรัฐมนตรีในกลุ่มเดียวกันก็ไม่รู้

ต้องยอมรับว่าการยุบสภาของ นายชวน หลีกภัย เนื่องจากกรณีพรรคพลังธรรม เป็นการตัดสินใจของ นายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์

ต้องยอมรับว่าการยุบสภาของ นายบรรหาร ศิลปอาชา ทั้งๆที่รับปากกับ นายเสนาะ เทียนทอง และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาแล้วเป็นการตลบหลังโดย นายบรรหาร ศิลปอาชา

จึงต้องยอมรับว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยืนยันว่า

ยังไม่ได้คิดและจะไม่มีการยุบสภา แม้จะมีข่าวลือรุกไล่อย่างรุนแรงก็ตาม บรรดาเกจิทางการเมืองก็ยังไม่เชื่อ

เนื่องจากความหมายจำกัดเพียงจะไม่ยุบสภาก่อนวันที่ 24 สิงหาคม ตามความเชื่อในทางสังคมเท่านั้น

คำยืนยันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ต้องมองไปยังบทบาท และการตัดสินใจยุบสภาในยุครัฐบาล นายชวน หลีกภัย และ ในยุครัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา

ความหมายมิได้อยู่ที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ในจุดที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์กับตัวเองอีกด้วย

ยิ่งกว่านั้น หากมองจากตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ใช่ว่าจะยึดมั่นตามคำประกาศอย่างซื่อสัตย์ เพราะเคยยืนยันว่าจะไม่รัฐประหารก็รัฐประหารมาแล้ว

ที่สำคัญในห้วงหลังรัฐประหาร ซึ่งกระหึ่มด้วยบทเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะหวนคืนกลับมา” ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง

เพราะที่ขอเวลาอีก “ไม่นาน”กลับมีความคิดที่จะ “ไปต่อ”

การเมืองนับแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จึงเป็นการเมืองแห่งความไม่แน่นอน เป็นการเมืองที่ไม่สามารถไว้วางใจต่อใครคนใดคนหนึ่งได้อย่างชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์

แม้จะเป็น “ชายชาติทหาร” บนฐานแห่ง “ระบบเกียรติศักดิ์”

จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล หรือแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ไม่มีพรรคใดวางใจ

ตรงกันข้าม กลับตระเตรียมเข้าสู่ “เลือกตั้ง”อย่างเต็มเปี่ยม