FootNote:ภาพเปลือย รองนายกรัฐมนตรี ปรากฏในบรรยากาศเลือกตั้ง
เพียงทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด แย้มภาพคู่ระหว่างหญิงสาวกับบุคคล ซึ่งเป็นอดีต “รองนายกรัฐมนตรี” ออกมา ก็กลายเป็นข่าวพาดหัวในระดับตัวไม้ ของสื่อหนังสือพิมพ์โดยอัตโนมัติ
อาจเป็นเพราะระบุว่ามีภาพ “เปลือย” สะสมอยู่จำนวนมาก เมื่อประสานกับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” ก็ตะลึงตึง
ความรู้สึกโดยมูลฐานอย่างที่สุดก็คือ ความรู้สึกอันโยงยาวไปยังข่าวความอื้อฉาว อันเกี่ยวกับรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง โดยฝีมือทนายคนเดียวกันนี้
ทุกอย่างที่ตกไปอยู่ในมือของ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด มีสภาพความเป็นจริงรองรับอยู่เสมอ เพราะหากไม่มีอะไรอยู่ในมือ ก็คงไม่แย้มไพ่ออกมาอย่างเย้ายวนเช่นนี้
ความคึกคักเป็นอย่างมากในโลกโซเชียลก็คือ การเสาะหาว่ารองนายกรัฐมนตรีคนนั้นเป็นใคร เป็นรองนายกรัฐมนตรีในยุคใด มีใครเป็นนายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะเสาะหารายชื่อรองนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กระทั่งในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ล้วนแต่อยู่ในวัยที่ขึ้นสู่สะพานพระราม 6 และ 7 แล้วทั้งสิ้น
กว่าจะมีการเค้นในลักษณะคั้นออกมาว่าน่าจะเป็น “ตัว ป.”
ตามบรรทัดฐานของทนายความจะแถลงเรื่องนี้ในวันที่ 9 มกราคม แต่ก็เชื่อได้โดยพื้นฐานว่า เป็นการแถลงที่ต้องยึดกุมบรรทัดฐานแห่งหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด
กระนั้น ทุกอย่างก็ดำเนินไปในลักษณะอันเรียกได้ว่าเป็นอิฐล่อหยกในทางการเมืองเนื่องแต่ 2 ปัจจัยประกอบ
ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยอันสัมพันธ์อยู่กับเรื่องชู้สาวและมีภาพในลักษณะเปลือยสร้างสีสัน ประสานกับปัจจัย 1 ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งหมดนี้คือความอื้อฉาว ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องในทาง “ส่วนตัว” ที่สามารถโยงเข้าไปสู่ “ส่วนรวม” ได้อย่างยากจะปฏิเสธได้ในทางเป็นจริง เพราะมีตำแหน่งทางการเมือง
จึงไม่ต่างอะไรไปจากการโยง “ธุรกิจสีเทา” เข้ากับนายตำรวจและเครือข่ายของรัฐมนตรี หรือกระทั่งนายกรัฐมนตรี
ไม่ว่ามองผ่านความอื้อฉาวของภาพเปลือยอดีตรองนายกรัฐมนตรี ไม่ว่ามองผ่านความสัมพันธ์ของธุรกิจสีเทากับคนซึ่งมีตำแหน่งทางการเมือง
เป็นความอื้อฉาวที่มากด้วยสีสันยิ่งในทางการเมือง สังคม
ประกอบกับเมื่อการเมืองไทย เหยียบบาทก้าวเข้าสู่โหมดแห่งการเลือกตั้ง ความอื้อฉาวเหล่านี้ ยิ่งเพริศแพร้วพรรณราย และเร้าเร่งความสนใจเป็นอย่างสูง
จากตัวละครที่เป็น “รัฐมนตรี” เป็น “รองนายกรัฐมนตรี” หรือแม้กระทั่งเครือญาติของ “นายกรัฐมนตรี”