การเดินสาย”อุ่นเครื่อง”ของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตั้งแต่ 1 วันหลังจากปรากฏคะแนน 1.3 ล้านเสียงส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งในทางการเมือง
สำหรับคนที่มักคุ้นกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตั้งแต่เป็นอา จารย์ นี่เป็นวัตรปฏิบัติธรรมดาอย่างปรกติยิ่ง
ยืนยันความแข็งแกร่ง สะท้อนออกถึงทำงาน ทำงาน ทำงาน
ขณะเดียวกัน เมื่อเป็นการทำงาน ทำงาน ทำงาน เคลื่อนไหว ตั้งแต่ตี 4 ยังเย็นย่ำสนธยาก็ไม่หยุด จึงก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ อย่างมากด้วยความแหลมคม
ไม่เพียงเปรียบเทียบกับ “อดีต” ผู้ว่าฯกทม. โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคนล่าสุดซึ่งเป็นคู่แข่งในทางการเมือง หากสัมผัสจากเงาสะท้อนผ่านการสำรวจ”โพล”ยืนยันว่าไปไกลกว่านั้น
นั่นก็คือ เปรียบเทียบให้เห็นความต่างจาก”นักการเมือง”ไม่เพียงจากนักการเมืองปรกติ หากที่เด่นชัดเป็นอย่างมากยังเป็นนัก การเมืองที่มาจาก”รัฐประหาร”
สะท้อนความรู้สึกที่อยากให้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นมากยิ่งกว่า”ผุ้ว่าฯกทม.” นั่นคือ “นายกรัฐมนตรี”
ตรงนี้แหละที่สร้างความอ่อนไหวไปถึง”ทำเนียบรัฐบาล”
ปรากฏการณที่ ด้านหนึ่ง กระหึ่มด้วยน้ำเสียงยกย่องชมเชยต่อการเคลื่อนไหวอย่างเอาการเอางานของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
เข้าใจได้เพราะว่าเป็นบรรยากาศในแบบ”ข้าวใหม่ปลามัน” ย่อมมากด้วยความหอม
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง เมื่อมองไปยังภายในทำเนียบรัฐบาล
ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารมาตั้งแต่หลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 พร้อมกับเสียงเพลงเราจะทำตามสัญญา
ระหว่างความเก่าอันซ้ำซากจำเจ กับ ความใหม่อันมากด้วยพลังและความคาดหวังในทางการเมืองก็เป็นที่ประจักษ์ว่าด้านใดจะสดใสมากกว่า
ความหงุดหงิดจึงปรากฏขึ้นจาก”ภายใน”ทำเนียบรัฐบาลและสะท้อนออกจาก”ภายใน”พรรคพลังประชารัฐ กลายเป็นโรคระบาดใหม่ในทางการเมืองขึ้นมา
ในความเป็นจริง ภาระหน้าที่ของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อย่างน้อยก็อีก 4 ปีต้องอยู่ในตำแหน่ง”ผู้ว่าฯกทม.”เท่านั้นไม่อาจเป็นอื่นไปได้อย่างง่ายดาย
กระนั้น สิ่งที่ปรากฏได้กลายเป็น”บรรทัดฐาน”ทางการเมือง
บังเอิญเป็นบรรทัดฐานอันเกิดขึ้นในห้วงที่รัฐบาลและ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในระยะ”ขาลง”อย่างทุลักทุเล
อาการกระบอกตาร้อนผ่าวจึงกลายเป็นโรคระบาดใหม่