FootNote เครื่องบิน”รบ” เมียนมาร์ ล้ำแดน เครื่องชี้วัด สถานะ แห่ง”อำนาจ”
กรณีเครื่องบินเมียนมาร์ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของไทยในพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก เป็นเวลา 15 นาที มากด้วยความละเอียดอ่อนเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
ทั้งการเมืองระหว่างประเทศในความสัมพันธ์เมียนมาร์-ไทย ทั้งการเมืองในประเทศที่อยู่ภายใต้อำนาจของ”ทหาร”
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเมียนมาร์ ไม่ว่าสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศ เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปอย่างเป็นเอกภาพอย่างเหลือเชื่อ
เป็นเอกภาพแห่งอำนาจทาง”การทหาร” เป็นเอกภาพแห่งการเป็นรัฐอันมี”กองทัพ”เป็นสดมภ์หลัก เป็นเอกภาพแห่งความเป็น”เผด็จการ”อันได้อำนาจมาจาก”รัฐประหาร”
จึงไม่ว่าจะพิจารณาจาก”ถ้อยคำ”อันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะพิจารณาจาก”ถ้อยคำ”ของผบ.เหล่าทัพ โดย เฉพาะกองทัพไทยและกองทัพอากาศจึงเป็นไปในทางเดียวกัน
นั่นก็คือ ย้ำให้เห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเมียน
มาร์ เพียงแต่ความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องของผู้มีอำนาจของเมียนมาร์กับผู้มีอำนาจของไทย
โดยได้มองข้ามความเป็นจริงของความสัมพันธ์ที่มีกับประชา ชนไปอย่างน่าเสียดาย
ลักษณาการแห่งคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลักษณาการแห่งคำพูดของ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ เด่นชัดในความเป็นเพื่อนกับรัฐบาลเมียนมาร์ของมิน อ่อง หล่าย
นี่คือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากยุคสงครามเย็นที่กองทัพมีบทบาทเหนือกระทรวงการต่างประเทศ
ตั้งแต่ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมายังยุค จอมพล ถนอม กิตติขจร กระทั่งถึงยุค พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์
ในเมื่อรัฐบาล มิน อ่อง หล่าย ก็มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร ในเมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร จึงมีสันถวมิตรอันสนิทสนมอย่างยิ่ง
เป็นความสนิทสนมอันมองข้าม”ประชาชน”ไปโดยปริยาย
สถานการณ์เครื่องบินพม่าล่วงล้ำอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย จึงเป็นอีกรูปธรรมหนึ่งซึ่งสะท้อนและยืนยันลักษ ณะ”อ-ประชาธิปไตย”ที่ตกค้างอยู่อย่างเด่นชัด
เป็นความเคยชินของ”นักรัฐประหาร” ผนวกกับ”ทหาร”
พลันที่เสียงเครื่องบินดังขึ้นจึงไม่ปรากฏบทบาทและท่าทีใดๆ จากนักการทูตแห่งกระทรวงการต่างประเทศ
ความเคยชินนี้จึงถูกขุดคุ้ยและเปิดโปงอย่างร้อนแรง