FootNote กลยุทธ์ใหม่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ในที่สุด เป้าหมายการโจมตีในปฏิบัติการเปิดโปง “ธุรกิจสีเทา” ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็มีลักษณะรวมศูนย์กระหน่ำเข้าใส่ “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล”
ภายหลังจากขี่ม้าเลียบค่าย ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอาสำนักอัยการสูงสุดเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอากรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอา ป.ป.ง. เข้ามา
กล่าวในทางกรณีก็ต้องเป็นเครือข่ายของ “ตู้ห่าว” ขณะเดียวกัน ก็แยกจำแนกออกมาอย่างเป็นพิเศษไปยังบทบาทและความรับผิดชอบของ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล”
นั่นก็คือ ลงไปในรายละเอียดจากกรณีผับจินหลิงในพื้นที่ของยานนาวาเป็นจุดเริ่มต้น ชี้ให้เห็นเงื่อนงำการดำเนินคดีระหว่างคดียาเสพติดกับคดีบ่อนการพนัน
พลันที่เรื่องของ “ตู้ห่าว” อึกทึกครึกโครมขึ้นในขณะที่ดคีบ่อนที่ระยองอยู่ในการพิจารณาของศาล ก็มีการโยงรายละเอียดและผลการตัดสินเข้ามาเปรียบเทียบ
เป็นการเปรียบเทียบถึงประสิทธิภาพของการสอบสวนและการทำสำนวนอย่างจำแนกแยกแยะ
เนื่องจากอยู่ในความรับผิดชอบขอ “คนเดียวกัน”
หากจำกรณีการบุกจับ “บ่อนหลงจู๊สมชาย” ในห้วงแห่งสถานการณ์โควิดระบาดได้คงนึกถึงบทบาทของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในห้วงที่อยู่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
การลงเอยโดยการ “หลงจู๊สมชาย” ถูกยกฟ้องเท่ากับเป็นรูปธรรมอันมากด้วยความละเอียดอ่อน ยิ่งติดตามแต่ละการเปิดโปงของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยิ่งสัมผัสได้ว่ายุทธวิธีในการทำงานเป็นไปอย่างมากด้วยประสบการณ์และความจัดเจน
ประการสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ละ “ข้อมูล” ที่นำออกมาเปิดเผยล้วนเป็นข้อมูลจาก “คนใน” จึงสร้างความสนใจเป็นอย่าง สูงในกระบวนการทำข่าว
การนิ่งเฉยของกองบัญชาการตำรวจนครบาลจึงมิได้เป็น ยุทธวิธีที่เป็นคุณ ตรงกันข้าม กลับสะท้อนการตั้งรับ
ตราบใดที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลไม่พยายามชี้แจงและทำความเข้าใจ หมัดแต่ละหมัดจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จึงดำรงอยู่ในลักษณะเป้านิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการมีอยู่ของ “บ่อน” ไม่ว่าจะในเรื่อง “ใต้โต๊ะ” ภาพที่ปรากฏในโลกแห่งโซเชียลนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ทำหน้าที่ในการช่วยเหลือในการให้ความจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความจริงนั้นกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นจำเลย