FootNote:สมรภูมิ เลือกตั้ง ‘ซ่อม’ ร้อนระอุ พลังประชารัฐชนประชาธิปัตย์

ไม่ว่าจะดันหลัง นายอลงกรณ์ พลบุตร ไม่ว่าจะดันหลัง นายสาธิต ปิตุเดชะ ไม่ว่าจะดันหลัง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ออกมาปล่อยลูกระเบิดว่าด้วย ‘มารยาททางการเมือง’

แต่พลันที่มติพรรคพลังประชารัฐ ออกมาในทางที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ที่ชุมพรและสงขลาทุกอย่างก็เรียบร้อย

เป็นความเรียบร้อยในลักษณะที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสนามชุมพร เขต 1 ไม่ว่าจะเป็นสนามสงขลา เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์จะต้องสู้กับพรรคพลังประชารัฐ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

เท่ากับยืนยันว่า ยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐที่จะรุกเข้า แย่งยึดพื้นที่ภาคใต้เอามาจากพรรคประชาธิปัตย์ให้มากยิ่งขึ้น มั่นคง แน่วแน่ ไม่มีการแปรเปลี่ยน

จากที่ได้มา 13 คนในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เพิ่มเป็นอีก 1 จากการเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช และตั้งเป้าอีก 2 ในการเลือกตั้งซ่อมชุมพรและสงขลาในเดือนมกราคม 2564

จึงเป็นอันเด่นชัดว่าคู่ต่อสู้ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้คือพรรคพลังประชารัฐ มิใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล

เป็นอันรับรู้กันว่าจะดูจังหวะก้าวของพรรคพลังประชารัฐ ก้าวแรกให้ จับตาไปยัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ก้าวที่สองให้จับตาไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เห็นได้จากคำประกาศจะลงไปยังพื้นที่ชุมพรและพื้นที่พัทลุงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

นั่นก็ภายหลังจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้นำร่องไปแล้วในชุมพร และกล่าวสำหรับพัทลุงคือการไปจับมือและดึงคนในตระกูล ‘ธรรมเพชร’ เอามาจากพรรคประชาธิปัตย์

นอกเหนือจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ภาคใต้ จึงเป็นอีกพื้นที่สำคัญที่พรรคพลังประชารัฐจะเพิ่มจำนวนให้กับส.ส.

นี่ย่อมเป็นแผน ‘แลนด์สไลด์’ พรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นจริง

ถามว่าการประกาศดับเครื่องชน ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้ จะนำความร้าวฉานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันหรือไม่ คำตอบนี้อยู่ที่บรรทัดสุดท้ายใครเป็นฝ่ายชนะ

กระนั้นระหว่างทางจากเดือนธันวาคม ไปยังการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ก็จะสัมผัสได้ในสภาวะร้าวที่ร้าวลึกเป็นลำดับ

เท่ากับสะท้อนให้เห็นความไม่แน่นอนดำรงอยู่ทางการเมือง