FootNote:บททดสอบ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เบื้องหน้า แรงตอบ ภูมิใจไทย
มติพรรคภูมิใจไทยที่จะฟ้องร้องต่อพฤติกรรมของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นมติอันสะท้อนมาตรการทางศาลเพื่อเป้าหมายในทาง การเมืองอย่างเด่นชัด
โดยเฉพาะเมื่อสั่งการให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคภูมิใจไทยจำนวน 400 คนเล่นบทเป็นโจทก์
นี่ย่อมเป็นสำแดงให้เห็น “พลานุภาพ” เพื่อ “กำราบ”
หากมตินี้ได้รับการปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกันในขอบเขตทั่วประเทศ ก็จะย่อมจะสร้างความลำบากให้กับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อย่างแน่นอน
ณ เบื้องหน้าสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเท่ากับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ จะต้องเผชิญกับการต้องเดินทางขึ้นโรงขึ้นศาลจังหวัดแล้วจังหวัดเล่า เท่ากับต้องกลายเป็นศตรูกับอีก 400 คน
ขณะเดียวกัน มติของพรรคภูมิใจไทยนอกจากเป็นการแสดง ให้ประจักษ์ถึงพลานุภาพในทางการเมืองที่มีอยู่ ยังเท่ากับยืนยันด้วยว่าการเคลื่อนไหวของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มีผลสะเทือน
เพราะหากไม่มีผลสะเทือนพรรคภูมิใจไทยก็คงไม่แยแส ไม่สนใจอย่างเป็นระบบถึงระดับนี้
ถามว่าปัจจัยอะไรทำให้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สำคัญ
ในทางกายภาพบทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ปรากฏขึ้นอย่างเป็น “ปัจเจก” มิได้เป็นตัวแทนของพรรคหรือกลุ่มใดในทางการเมือง
หากแต่ผลสะเทือนเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นการเคลื่อนไหวอันก่อให้เกิดเป็น “ประเด็น”ในทางสังคม
ทั้งๆที่เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะแห่งปัจเจกบุคคล เหตุใดจึงสามารถสร้างเป็นประเด็นกระทั่งมีโอกาสกลายเป็นวาระในทางการเมืองอันร้อนแรงขึ้นมา
นั่นก็เนื่องจากการสะสมบารมีจากการเคลื่อนไหวในกรณีของ “ธุรกิจสีเทา” อันเป็นพื้นที่ความจัดเจนโดยพื้นฐาน จากนั้นจึงต่อยอดมาเป็นพื้นที่ในทางการเมือง
ที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือภายในการเคลื่อนไหวของก็ได้
ทำให้เกิดเป็น “ปรากฏการณ์”อยู่ในความสนใจของสังคม
เส้นทางของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นับแต่พรรคภูมิใจไทยมีมติจะตอบโต้ผ่านกระบวนการฟ้องร้อง จึงเป็นเส้นทางที่พิสูจน์ตัวตนและความเป็น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อย่างแหลมคม
นั่นก็คือ ยังจะ “เดินหน้า” หรือว่าสยบอย่างจำนน
ที่แหลมคมมากยิ่งกว่านั้นก็คือ จะเป็นการเดินหน้าหรือยอมจำนนผ่านกระบวนท่าใด
นี่คือบททดสอบทั้งต่อ “ชูวิทย์” และ “ภูมิใจไทย”