FootNote:การพลิกเปลี่ยนของ “ประยุทธ์” เอกภาพ พรรคร่วม “ฝ่ายค้าน”

หลังการลงมติในพรป.ว่า ด้วยการเลือกตั้งในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 7 กรกฎาคม แนวการสัประยุทธ์ทางการเมืองที่เคยพร่าเลือน ก็เริ่มแจ่มชัดอีกคำรบหนึ่ง

เป็นแนวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล อย่างเฉียบขาดและมั่นคง

เป็นแนวเดียวกับที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

เคยก่อรูปและปรากฏอย่างค่อนข้างเป็น “ขบวนการ” ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 และฟื้นคืนอย่างเป็นระบบอีกครั้ง ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในเดือนพฤษภาคม 2565

ชัยชนะของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นั่นแหละคือปัจจัยอันคมแหลมอย่างเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้คะแนนและความนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทะยานขึ้นสูงเด่น

หากที่สำคัญยังสร้างความหวาดพรั่นเป็นอย่างสูงให้กับกลุ่มกุมอำนาจรัฐ อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน จำเป็นต้องปรับกระบวนการต่อสู้ใหม่

หากมองและประเมินว่า กระบวนการต่อสู้ในแบบของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คือกระบวนท่า “ใหม่” ของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับระบอบซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน

การยินยอม “กลับมติ” จากหาร 100 มาเป็นหาร 500 คือการยอมกลืนน้ำลายของอีกฝ่าย อย่างไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด

ในเมื่อเป้าหมายของการต่อสู้คือการได้ชัยชนะ การเปลี่ยนปรับ “ยุทธวิธี” จึงมีความจำเป็น ทั้งที่แสดงออกในลักษณะวกวนคดเคี้ยวและทั้งที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา

การโหวตเมื่อคืนวันที่ 7 กรกฎาคมจึงยืนยันอีกคำรบหนึ่งว่า ระบอบอันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทนพร้อมที่จะยืดหยุ่นและพลิกแพลงแม้ว่าจะเป็นมติของตนเองก็ตาม

การเรียนรู้และทำความเข้าใจต่อกระบวนท่าของระบอบอันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทนจึงมีความจำเป็น

ต้องยอมรับว่าเอกภาพภายในของระบอบอันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทนนั้นมีความแจ่มชัด คำถามก็คือเอกภาพภายในพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมากน้อยเพียงใด

เป็นคำถามตรงไปยังพรรคเพื่อไทย ไปยังพรรคก้าวไกล การแสดงผ่าน “แถลงการณ์” คือเครื่องยืนยัน และจะยืนยันได้อีกในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

ว่าจะเป็นยุทธการ “เด็ดหัว” ทะลายนั่งร้านได้เป็นจริงเพียงใด