FootNote:กรณี นักการเมืองทำร้ายทางเพศ ทั้งโดยพฤติกรรมและวาทกรรม

พลันที่มีการปูดเรื่อง “รองหัวหน้า”พรรคการเมืองหนึ่ง ลวนลาม “สตรีผู้หนึ่ง” ขึ้น แม้จะเป็นเรื่องที่ยังมิได้มีการระบุว่า เป็นกรณีระหว่างใครกับใครแต่ผลสะเทือนก็ตามมาอย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเป็นผลสะเทือนในเชิงคาดเดาว่า “รองหัวหน้า” พรรคคนนั้นเป็นใครและมีบทบาทอย่างไรในทางการเมือง

หากที่เป็นความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก คือปฏิกิริยาและความเห็นอันมาจากแวดวงของนักการเมืองด้วยกัน ทั้งในระดับหัว หน้าพรรคและส.ส.ที่อยู่ในแวดวงของ “ชายชาตรี”

เหตุที่กรณีนี้มีความละเอียดอ่อนไม่เพียงเพราะสัมพันธ์กับเบาะแสซึ่งระบุว่าเป็นรองหัวหน้าพรรคจากพรรคการเมืองใหญ่และเป็นคนมีความรู้ในทางเศรษฐศาสตร์

หากแต่เมื่อเป็นเรื่องในระหว่าง “ชายหนุ่ม”กับ “หญิงสาว” จึงก่อให้เกิดความเห็นที่ตามมาทั้งในแบบของ “ชายชาตรี”และในแบบของกลุ่มความคิดในสาย “สตรีนิยม” หรือ “เฟมินิสต์”เข้มข้น

ตรงนี้แหละที่ทำให้แต่ละ “อาการ”ของนักการเมืองด้วยกัน ถูกมองอย่างแคลงคลางและกังขาต่อความเท่าเทียมทางเพศ

ต้องยอมรับว่าแวดวงการเมืองของไทย ดำรงอยู่ในลักษณะอันถือได้ ว่าเป็นเงาสะท้อนของสังคมประเภท “ชายเป็นใหญ่” ไม่ว่าในทางความคิด ไม่ว่าในทางด้านของจำนวน

อาการกระเหี้ยนกระหือรือในแบบของ “ชายชาตรี”จึงปรากฏขึ้นอย่างอัตโนมัติ

ยิ่งในยุคแห่ง “โซเชียลมีเดีย” ไม่ว่าจะแสดงออกด้วยคำพูด ไม่ว่าจะแสดงออกด้วยการเขียน พลันที่สำแดงออกก็กลายเป็นเรื่องใน ทางสาธารณะและอยู่ในกระแสโดยอัตโนมัติ

ความสนใจที่ว่า “รองหัวหน้าพรรค”คนนั้นเป็นใคร และมีความสำคัญแค่ไหนก็ร้อนแรงอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่ “ปฏิกิริยา” จากชายชาตรี “นักการเมือง”ยิ่งกลายเป็น“สายล่อฟ้า”อย่างฉับพลันทันใด

ต้องยอมรับว่ากระแสความคิด “ใหม่” ในทางสังคมถาโถมเข้ามาในางการเมืองอย่างรวดเร็วและถูกแปรเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สามารถ ก่อผลสะเทือนได้ตลอดเวลา

บรรดา “ชายชาตรี”นักการเมืองหลายคนอาจขาดความสังวร หารู้ไม่ว่าเพียงความรู้สึกลึกๆที่ “แพล็มโผล่”ออกผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านอินสตาแกรม ผ่านไลน์ ก็เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ

กลายเป็นบทสรุป แปรเป็นคำตอบว่า เป็นนักการเมืองพรรณใด