หลัง พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023/24 จบลงด้วยบทสรุปที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ ยังมีอีกหลายสถิติที่น่าทึ่งที่ถูกทำลายลงในการแข่งขันซีซันนี้ วันนี้ 90MIN จะพาทุกท่านไปดูกันว่ามีสถิติไหนบ้างที่น่าสนใจ
สถิติการทำประตู
– ยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลล่าสุด มีการทำประตูเกิดขึ้นรวมกันตลอดทั้งซีซันถึง 1,246 ประตู ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนประตูที่มากที่สุดตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันมา โค่นสถิติเก่าของฤดูกาล 1992/93 ลงได้อย่างราบคาบ ซึ่งในตอนนั้นมีการแข่งขันกันด้วยจำนวน 22 ทีม รวม 462 แมตช์ โดยผลรวมประตูทั้งหมดคือ 1,222 ประตู
– ปีทองของซุปเปอร์ซัพ
เป็นฤดูกาลที่ตัวสำรองทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาทำประตูรวมกันทั้งสิ้น 159 ประตูในซีซันนี้ ทำลายสถิติสูงสุดซึ่งเกิดขึ้นของฤดูกาลก่อนที่ 132 ประตู
– แฮตทริก ในหนึ่งวันมากที่สุด
วันที่ 2 กันยายน 2023 ซอน ฮึง-มิน(ท็อตแนม ฮอตสเปอร์), เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์(แมนเชสเตอร์ ซิตี้) และ อีแวน เฟอร์กูสัน(ไบร์ทตัน) ยิงแฮตทริกได้ในวันเดียวกัน ทำสถิติมีผู้เล่นทำแฮตทริกได้มากที่สุดในหนึ่งวัน เทียบเท่ากับ พรีเมียร์ลีก ปี 1995 ซึ่ง อลัน เชียเรอร์, ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์, และ โทนี่ เยบัวห์ เป็นเจ้าของสถิติร่วมกัน
– ประตูที่เกิดขึ้นช้าที่สุด
ประตูตีเสมอของ โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ จากลูกจุดโทษท้ายเกมเจอกับ เวสต์แฮม ถือเป็นประตูที่เกิดขึ้นในเวลาที่ช้าที่สุดในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ในนาทีที่ 102:08 ทำลายสถิติของ เดิร์ก เค้าท์ ที่เคยยิงใส่ อาร์เซน่อล ในนาทีที่ 102 เมื่อเดือน เมษายน 2011
– ชนะแล้วโดนพลิกกลับมาแพ้ และ ประตูชัย ที่ช้าที่สุด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำ เชลซี อยู่ 3-2 ในนาทีที่ 99:18 ก่อนจะโดนรัวสองประตูพลิกแซงในตอนท้ายด้วยสกอร์ 4-3 ทำสถิติทีมที่นำแล้วโดนพลิกแซงในนาทีที่ช้าที่สุดในประวัติศาสตร์ ในขณะเดียวกัน ประตูของ โคล พาลเมอร์ ในนาทีที่ 100:41 ก็ถือเป็นประตูชัยที่เกิดขึ้นช้าที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้อีกด้วย
Chelsea FC v Manchester United – Premier League / Mike Hewitt/GettyImagesสถิติระดับสโมสร
– แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่คว้าแชมป์ได้ติดกันสูงสุดถึง 4 สมัย และ ยังไม่แพ้เกมในบ้านติดต่อกันตลอดทั้งซีซันอีกด้วย
– ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ไม่เสมอใครในบ้านเลยตลอดทั้งซีซันนี้
– น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
ทำสถิติเป็นทีมรอดตกชั้นที่เก็บแต้มได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยทีม เจ้าป่า เก็บไปได้เพียง 32 แต้มตลอดทั้งซีซัน ซึ่งรวมกับบทลงโทษที่โดนตัดแต้มไป 4 คะแนนอีกด้วย แต่ก็เพียงพอจะทำให้ ฟอเรสต์ ยังคงอยู่รอดบนลีกสูงสุดฤดูกาลหน้าได้
– แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ บอร์นมัธ
ทีม เรือใบสีฟ้า ทำสถิติชนะคู่แข่งตลอด 14 ครั้งที่เจอกันเหนือ บอร์นมัธ ซึ่งกลายเป็นการเอาชนะคู่แข่งทีมเดียวได้ติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์
– นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
สร้างสถิติผลต่างประตู 8 ลูกทีมแรกในประวัติศาสตร์(ไม่นับการทำเข้าประตูตัวเอง) หลังทีม สาลิกาดง บุกไปยิง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ถึง 8-0 ในเดือน กันยายน 2023
หลังจากนั้นในเกมนัดสอง นิวคาสเซิ่ล เปิดบ้านทุบทีม ดาบคู่ ไปอีก 5-1 ทำสถิติเป็นทีมที่ยิงคู่แข่งไป-กลับมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยผลรวมประตู 13 ลูก
– ลิเวอร์พูล
ทำสถิติสร้างค่า xG ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ในเกมเจอกับ นิวคาสเซิ่ล ซึ่งพลพรรคหงส์แดงสร้างตัวเลขดังกล่าวไปได้ถึง 7.11 ในเกมเดียว
– อาร์เซน่อล
ตั้งแต่ครึ่งหลังในเกมเจอกับ ลิเวอร์พูล จนถึงครึ่งแรกในเกมเจอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ และ มีนาคม อาร์เซน่อล ทำประตูได้ 2 ลูกขึ้นไปติดต่อกันได้ถึง 8 ครึ่งเวลา นับเป็นสถิติใหม่ของ พรีเมียร์ลีก
– เชลซี
มีผู้เล่นโดนใบเหลืองรวมกันมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล พรีเมียร์ลีก โดยผู้เล่น เชลซี โดนไปถึง 105 ใบเหลือง ในซีซันนี้
– เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
เสียประตูมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก หนึ่งซีซัน โดยเสียไปทั้งหมด 104 ประตู เท่านั้นไม่พอ พวกเขายังทำสถิติเสียประตูรวมกันในบ้านถึง 57 ลูก โดยที่เก็บคลีนชีตได้เพียง 1 เกมเท่านั้น อีกทั้งยังมีผลต่างประตูได้เสีย -69 ประตู กลายเป็นทีมที่มีผลต่างประตูได้เสียแย่ที่สุดเทียบเท่ากับที่ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ เคยทำไว้ในฤดูกาล 2007/2008
Sheffield United v Newcastle United – Premier League / Visionhaus/GettyImagesสถิติผู้จัดการทีม
– อันจ์ ปอสเตโคกลู
พา ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เก็บได้ถึง 26 จาก 30 แต้มใน 10 เกมแรก ถือเป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเก็บแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 10 เกมแรกของ พรีเมียร์ลีก
– เป๊ป กวาดิโอลาร์
เกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ในเดือน สิงหาคม 2023 ถือเป็นชัยชนะนัดที่ 200 ในการคุมทีม เรือใบ ของ เป๊ป และทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่เก็บชัยชนะได้ถึง 200 นัดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก
– เจอร์เก้น คล็อปป์
หลัง ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไปได้ทั้งเกมเหย้าและเยือนในฤดูกาลนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำสถิติเอาชนะ เอ็ดดี้ ฮาว รวด 12 เกม ถือเป็นสถิติชัยชนะของกุนซือเหนือกุนซืออีกคนติดต่อกันได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
Liverpool FC v Newcastle United – Premier League / Jan Kruger/GettyImagesสถิติผู้เล่น
– เจมส์ มิลเนอร์
ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันเป็นฤดูกาลที่ 22 เทียบเท่ากับสถิติของ ไรอัน กิกส์ โดยที่เจ้าตัวยังเหลืออีก 19 เกมเพื่อที่จะขึ้นไปเทียบเท่าสถิติของ แกเร็ธ แบร์รี่ ผู้ซึ่งลงเล่นไปกว่า 653 เกมในลีกสูงสุด อังกฤษ
– โมฮาเหม็ด ซาลาห์
กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งยิงทั้งจ่ายได้ถึง 10 ลูก ในซีซันเดียว สามฤดูกาลติดต่อกัน
– จาร์ร็อด โบเวน
กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่ยิงประตูเกมเยือนได้ 6 เกมติดต่อกัน จากการไปเยือนคู่แข่ง 6 นัดแรกของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
– เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
ยิงประตูถึง 50 ลูกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์จากการลงเล่นเพียง 48 เกมเท่านั้น ทำลายสถิติของ แอนดี้ โคล ซึ่งทำไว้ที่ 65 เกม
– เฌเรมี โดกู
ทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ถึง 4 แอสซิสต์ในเกมเดียว และ เป็นผู้เล่นที่แอสซิสต์ในเกมเดียวได้มากที่สุดอีกด้วย ซึ่งสถิติดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม บอร์นมัธ ไป 6-1
– ดาร์วิน นูเญซ
ทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงชนเสาและคานมากที่สุดในหนึ่งเกม(4ครั้ง) นับตั้งแต่ฤดูกาล 2003/04 โดยตลอดทั้งฤดูกาลนี้เจ้าตัวยิงชนเสาและคานไปทั้งหมด 9 ครั้ง น้อยกว่า โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ซึ่งยิงชนไปทั้งหมด 10 ครั้งในฤดูกาล 2011/12
– ราสมุส ฮอยลุนด์
ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูติดต่อกัน 6 เกมที่ได้รับโอกาสลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ด้วยวัยเพียง 21 ปีกับอีก 14 วันเท่านั้น
– โคล พาลเมอร์
กลายเป็นผู้เล่นที่ทำ “เพอร์เฟ็ค แฮตทริก” ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเวลาเพียง 29 นาที ทุบสถิติเดิมที่ครองบัลลังค์มาอย่างยาวนานถึง 29 ปีตั้งแต่ปี 1995
– เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ
หลังทำเข้าประตูตัวเองในเกมกับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา มาร์ติเนซ กลายเป็นผู้รักษาประตูที่ทำเข้าประตูตัวเองมากที่สุดในประวัติศาสตร์(3 ประตู)
Manchester City v Manchester United – Emirates FA Cup Final / Marc Atkins/GettyImages