Apple เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ของสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนที่เพรียวบางใน 5 สีสันใหม่ที่สวยงาม โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมนวัตกรรมอันน่าทึ่ง ตั้งแต่ระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone
ซึ่งมีกล้องไวด์ใหม่พร้อมพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงวิธีใหม่สำหรับปรับแต่งกล้องในสไตล์ของตัวเองอย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” และโหมดภาพยนตร์ที่จะเปิดมิติใหม่ของการเล่าเรื่องด้วยวิดีโอ
นอกจากนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีชิป A15 Bionic ที่เร็วสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น, จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา, ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งทนทาน, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB สำหรับรุ่นเริ่มต้น, ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และประสบการณ์ 5G สุดล้ำ
ดีไซน์ที่สวยงามและทนทานพร้อมด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน
iPhone 13 และ iPhone 13 mini ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอกโดยมีให้เลือก 5 สีสันสวยงามที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนอันทนทาน และโครงอะลูมิเนียมที่เรียบหรูดูดี ในขณะที่จอภาพขนาด 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว2 มาพร้อม Ceramic Shield ด้านหน้า ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ
ยิ่งกว่านั้นทั้งสองรุ่นยังมีความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม3 และออกแบบมาเพื่อปกป้องตัวเครื่องจากของเหลวทั่วไปที่หกใส่ด้วย ส่วนกล้องหลังได้รับการออกแบบใหม่โดยมีการจัดวางเลนส์ในแนวทแยง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบกล้องคู่สุดล้ำ และระบบกล้อง TrueDepth โฉมใหม่ก็มีขนาดเล็กลง จึงมีพื้นที่แสดงผลมากขึ้น แต่ในพื้นที่เล็กๆ นี้ยังคงอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเช่นเดิม อย่าง Face ID ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ปลอดภัยที่สุดในสมาร์ทโฟน
จอภาพ Super Retina XDR แบบ OLED มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่เหลือเชื่อ จึงแสดงสีดำได้ดำสนิท และมีความสว่างสูงสุดขณะอยู่กลางแจ้งเพิ่มขึ้น 28% เป็น 800 นิต และเพิ่มความสว่างได้สูงสุดถึง 1,200 นิต สำหรับคอนเทนต์แบบ HDR อย่างภาพถ่ายและวิดีโอ และในขณะเดียวกันยังประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
ทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 mini มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งเป็นจริงได้เพราะชิป A15 Bionic ส่วนประกอบที่ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น และการจัดสรรพลังงานอย่างลงตัวจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้ iPhone 13 มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานตลอดวัน โดยใช้งานได้นานขึ้นสูงสุดกว่า 2.5 ชั่วโมงในหนึ่งวันเมื่อเทียบกับ iPhone 12 ในขณะที่ iPhone 13 mini ใช้งานได้นานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมงในหนึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 12 mini
ระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดใน iPhone
iPhone 13 และ iPhone 13 mini มาพร้อมดีไซน์กล้องที่เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ทั้งความล้ำหน้าในด้านฮาร์ดแวร์และการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ภาพถ่ายและวิดีโอสวยงามน่าทึ่ง กล้องไวด์ใหม่
ซึ่งมีพิกเซลขนาด 1.7 µm มาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone จึงสามารถรับแสงได้มากขึ้น 47% และทำให้ภาพสว่างยิ่งขึ้นโดยที่มีนอยซ์น้อยลง ถัดมาคือระบบ OIS ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปิดตัวไปใน iPhone 12 Pro Max และไม่มีในสมาร์ทโฟนอื่น แต่วันนี้มาอยู่ในกล้องไวด์ด้วยเช่นกัน รวมถึงในรุ่นที่กะทัดรัดกว่าอย่าง iPhone 13 mini ระบบนี้จะลดความสั่นไหวของเซ็นเซอร์แทนที่จะเป็นเลนส์เพื่อให้ภาพแต่ละช็อตนิ่งยิ่งขึ้น ส่วนกล้องอัลตร้าไวด์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะพร้อมด้วยเซ็นเซอร์ใหม่นั้นก็สามารถเก็บบันทึกรายละเอียดในส่วนมืดได้มากยิ่งขึ้นทั้งภาพถ่ายและวิดีโอโดยที่มีนอยซ์น้อยลง
โหมดภาพยนตร์บน iPhone สามารถบันทึกวิดีโอผู้ของคน สัตว์เลี้ยง และวัตถุพร้อมเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม และเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเก็บบันทึกช่วงเวลาสำคัญในสไตล์ภาพยนตร์ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพก็ตาม
ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการศึกษาเรื่องการกำกับภาพและการใช้โฟกัสแบบแร็คอย่างละเอียด ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเปลี่ยนโฟกัสเพื่อควบคุมการสร้างสรรค์ได้ทั้งในขณะถ่ายทำและหลังจากถ่ายเสร็จ และผู้ใช้ยังสามารถปรับระดับโบเก้ในแอปรูปภาพและ iMovie สำหรับ iOS ได้ด้วย ซึ่งเร็วๆ นี้จะทำได้กับ iMovie สำหรับ macOS และ Final Cut Pro เช่นกัน5 ทำให้ iPhone 13 เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวที่สามารถปรับแต่งเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกในวิดีโอหลังจากถ่ายได้ และโหมดภาพยนตร์ยังสามารถบันทึกในแบบ Dolby Vision HDR ได้อีกด้วยโดยอาศัยชิป A15 Bionic และอัลกอริทึมการเรียนรู้ของระบบอันล้ำสมัย นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังสามารถบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่การถ่ายทำจนถึงการตัดต่อและแชร์ และวันนี้กล้องทุกตัวก็รองรับความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps ด้วย
Neural Engine ที่เร็วยิ่งขึ้นในชิป A15 Bionic รวมถึงโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ใหม่ และความล้ำหน้าของการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ คือขุมพลังเบื้องหลังคุณสมบัติใหม่ๆ บน iPhone 13 และ iPhone 13 mini คุณสมบัติ “สไตล์ภาพถ่าย” ให้ผู้ใช้นำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเองมาใช้กับทุกภาพได้โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมของ Apple ส่วนค่าสำเร็จรูปและค่าที่ปรับแต่งไว้เองนั้นก็ใช้งานได้กับตัวแบบและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่จะมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้องค์ประกอบสำคัญในภาพอย่างโทนสีผิวยังคงดูดีเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ระบบกล้องคู่และการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ยังรองรับ HDR อัจฉริยะ 4 ซึ่งวันนี้สามารถปรับแต่งสีสัน คอนทราสต์ และการจัดแสงของแต่ละคนในภาพหมู่ให้สวยงามลงตัวยิ่งขึ้น
แม้ในสภาวะที่แสงไม่ดี ทำให้ภาพดูสมจริงยิ่งกว่าเดิม และถ่ายภาพในโหมดกลางคืนได้ดียิ่งขึ้นด้วย ที่สำคัญคือกล้อง TrueDepth ก็รองรับคุณสมบัติใหม่ๆ อันน่าทึ่งของกล้องครบทั้งหมดด้วย ทั้งโหมดภาพยนตร์ สไตล์ภาพถ่าย และ HDR อัจฉริยะ
ชิป A15 Bionic: หัวใจสำคัญของ iPhone 13
ชิป A15 Bionic เร็วแซงหน้าคู่แข่งไปไกลด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าและยังประหยัดพลังงานดีกว่าด้วย ทุกอย่างในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 จึงดูลื่นไหลยิ่งขึ้น ชิปรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรและมีทรานซิสเตอร์เกือบ 1.5 หมื่นล้านตัวสำหรับจัดการกับงานหนักๆ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่าย
โดยมี CPU แบบ 6-core ใหม่ที่มาพร้อมคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2-core และคอร์ที่ประหยัดพลังงานสูง 4-core ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 50% จนเรียกได้ว่าเร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน และสามารถรับมือกับงานหนักๆ ได้อย่างลื่นไหลและประหยัดพลังงานอีกด้วย
ในขณะที่ GPU แบบ 4-core ใหม่เร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 30% จึงทำให้เอฟเฟ็กต์ภาพและแสงในเกมที่เน้นกราฟิกมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น ส่วน Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงประมวลผลเพื่อการเรียนรู้ของระบบได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในแอปของบริษัทอื่น รวมถึงคุณสมบัติอย่าง “ข้อความในภาพ” ในแอปกล้องที่มาพร้อมกับ iOS 15 ด้วย และยังมีการปรับปรุง ISP เจเนอเรชั่นถัดไปให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น ซึ่งผนึกกำลังกับการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์กล้องอันทรงพลังจนกลายเป็นระบบกล้องคู่โฉมใหม่ในมือคุณ
ประสบการณ์ระดับ 5G ในหลายที่มากขึ้น
โลกกำลังก้าวสู่ยุคของ 5G อย่างรวดเร็ว และ iPhone ก็พร้อมมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำที่จะพลิกโฉมวิธีที่ผู้ใช้ต่อติดถึงกัน แชร์ และสนุกเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ เพราะมีฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 เพื่อให้รองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงทำงานบน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการโทรที่ดีขึ้นด้วย6 และภายในสิ้นปี 2021 การรองรับ 5G บน iPhone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศและภูมิภาค
โดยประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสนั้นมีตั้งแต่การสตรีมวิดีโอด้วยคุณภาพที่สูงขึ้นบนแพลตฟอร์มโปรด การเล่นเกมแบบหลายผู้เล่นที่สนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัปโหลดที่สูงขึ้น และอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นเมื่อ SharePlay7 ใน iOS 15 มาอยู่บน 5G แล้ว ก็จะช่วยให้ผู้ใช้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันได้อย่างทรงพลัง อย่างการดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime และยังมีโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาดโดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G
มาพร้อม iOS 15
iOS 15 ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน iPhone ด้วยวิธีใหม่ๆ ในการต่อติดกับทุกคน พร้อมด้วยคุณสมบัติอันทรงพลังที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัส สำรวจ และทำอะไรได้อีกมากมายด้วยระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์ นอกจากนี้การโทร FaceTime ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่งและโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่ และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ
รวมถึงการแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ “ข้อความในรูปภาพ” ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ Apple Maps มาพร้อมวิธีใหม่ๆ ในการนำทางและสำรวจโลกด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3 มิติ และเส้นทางการเดินในแบบความจริงเสริม
ส่วนแอปสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่แอปกระเป๋าสตางค์รองรับกุญแจบ้านแล้ว และยังมีการควบคุมด้านความเป็นส่วนตัวใหม่ๆ ใน Siri, เมล และอีกหลายที่ทั่วทั้งระบบเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
iPhone กับสิ่งแวดล้อม iPhone 13 ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงสายอากาศที่ใช้ขวดน้ำพลาสติกที่ผ่านการอัปไซเคิลโดยอาศัยกระบวนการทางเคมีเพื่อเปลี่ยนเป็นวัสดุประสิทธิภาพสูงที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการ และ iPhone ยังใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิลทั้งหมด 100% ในแม่เหล็กอย่างที่ใช้ใน MagSafe รวมถึงการใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในบัดกรีของแผงวงจรหลัก และในบัดกรีของหน่วยจัดการแบตเตอรี่
ซึ่งอย่างหลังถือเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังใช้ทองรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรหลัก รวมถึงสายไฟในกล้องหน้าและกล้องหลังด้วย ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบใหม่นั้นก็เลิกใช้พลาสติกหุ้มชั้นนอกโดยสิ้นเชิง จึงสามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ถึง 600 เมตริกตัน และทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทมากยิ่งขึ้น นั่นคือการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025
วันนี้การดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 เราวางแผนที่จะลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนการผลิตและวงจรชีวิตของสินค้าทั้งหมด นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องที่จำหน่ายจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของลูกค้า การชาร์จ จนถึงการรีไซเคิลและการคัดแยกวัสดุ
ราคาและการวางจำหน่าย iPhone 13 และ iPhone 13 mini
iPhone 13 mini : สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู และ (PRODUCT)RED)
- iPhone 13 mini ขนาดความจุ 128GB ราคา 25,900 บาท
- iPhone 13 mini ขนาดความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 mini ขนาดความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท
iPhone 13 : สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู และ (PRODUCT)RED)
- iPhone 13 ขนาดความจุ 128GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 ขนาดความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท
- iPhone 13 ขนาดความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท
สำหรับใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เริ่มวางจำหน่าย 8 ตุลาคมเป็นต้นไป ส่วนราคา่จากผู้ให้บริการ รอติดตามต่อไปอีกไม่นานเกินรอ