นอกจากนี้ Apple ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Award จากผลงานเรื่อง “Mythic Quest,” “Central Park,” “Servant,” “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry,” “Boys State,” “Mariah Carey’s Magical Christmas Special,” “Bruce Springsteen’s Letter To You,” “The Year Earth Changed” และ “Carpool Karaoke: The Series”
วันนี้ Apple ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Primetime Emmy Award ถึง 35 รางวัล โดยที่ 20 รางวัลเป็นของซีรีส์เรื่อง “Ted Lasso” ซึ่งทุบสถิติด้วยการเป็นซีรีส์แนวคอมเมดี้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากที่สุดในปีนี้ และยังเป็นซีรีส์แนวคอมเมดี้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปีแรกที่ฉายอีกด้วย โดยจะมีการถ่ายทอดการประกาศผลรางวัล Primetime Emmy Award ครั้งที่ 73 ทางโทรทัศน์ในวันที่ 19 กันยายน 2021 นี้
ซีรีส์แนวคอมเมดี้จาก Apple ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกอย่าง “Ted Lasso” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาหลักๆ ถึง 20 รางวัล เช่น ซีรีส์แนวคอมเมดี้ยอดเยี่ยม; Jason Sudeikis สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้; Hannah Waddingham และ Juno Temple สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้ 2 รางวัล; Brendan Hunt, Brett Goldstein, Jeremy Swift และ Nick Mohammed สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้ 4 รางวัล, การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้ 3 รางวัล, การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้ 2 รางวัล และการตัดต่อภาพยอดเยี่ยมด้วยกล้องตัวเดียวในซีรีส์แนวคอมเมดี้ 2 รางวัล
นอกจากนี้ยังมีผลงานของ Apple ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Awards ประจำปีนี้รวมทั้งหมดถึง 10 รายการ ไม่ว่าจะเป็น “Mythic Quest,” “Central Park,” “Servant,” “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry,” “Boys State,” “Mariah Carey’s Magical Christmas Special,” “Bruce Springsteen’s Letter To You,” “The Year Earth Changed” และ “Carpool Karaoke: The Series”
“นับตั้งแต่ที่เริ่มฉายเมื่อเกือบๆ 2 ปีที่แล้ว เรื่องที่เราปลาบปลื้มที่สุดคือการได้เห็นซีรีส์อย่าง ‘Ted Lasso,’ ‘Mythic Quest,’ ‘Central Park,’ ‘Billie Eilish:The World’s A Little Blurry,’ ‘Servant’ และอีกมากมายเป็นที่ชื่นชอบถูกใจของผู้ชมทั่วโลก” Zack Van Amburg ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Worldwide Video ของ Apple กล่าว “เรายังรู้สึกทึ่งทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องราวของผู้ชมหลายท่านที่มีอารมณ์ร่วมและผูกพันไปกับตัวละครขวัญใจเหล่านี้ รวมไปถึงการเดินทางที่ผู้ชมได้มีส่วนร่วมไปกับตัวละครเหล่านี้ด้วย พวกเราทุกคนที่ Apple ขอแสดงความยินดีจากใจจริงกับทุกท่านที่มีส่วนทำให้เรื่องราวที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ซึ่งคู่ควรแล้วกับที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้”
“สำหรับเราแล้วไม่มีเรื่องไหนจะน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้เห็นเหล่านักแสดงฝีมือเยี่ยมและทีมงานครีเอทีฟของเราได้รับการยกย่องชมเชยจากผลงานอันน่าทึ่ง เราประทับใจกับวิวัฒนาการและการเติบโตของเรื่องราวที่บอกเล่าผ่าน Apple Original ทุกเรื่อง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ชมจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เหล่านี้มากยิ่งขึ้นไปอีกในซีซั่นที่กำลังจะมาถึง” Jamie Erlicht ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Worldwide Video ของ Apple กล่าว “การที่ผลงานหลายเรื่องของเราได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลหลายสาขาโดย Television Academy ในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่เหลือเชื่อ และเรารู้สึกภูมิใจจริงๆ กับทุกคนที่มีส่วนร่วม”
Apple ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Award รวมทั้งสิ้น 35 รางวัล ดังนี้
- ซีรีส์แนวคอมเมดี้ยอดเยี่ยม: “Ted Lasso”
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Jason Sudeikis
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Brett Goldstein
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Brendan Hunt
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Nick Mohammed
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Jeremy Swift
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Juno Temple
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Hannah Waddingham
- การถ่ายภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ที่ถ่ายด้วยกล้องตัวเดียว (ครึ่งชั่วโมง): “Servant”
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Zach Braff
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” M.J. Delaney
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Declan Lowney
- การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso” ตอน Pilot
- การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso” ตอน “Make Rebecca Great Again”
- การคัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso”
- เพลงหลักประกอบรายการออริจินัลยอดเยี่ยม: “Ted Lasso”
- งานออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการเชิงเล่าเรื่อง (ครึ่งชั่วโมง): “Ted Lasso”
- การตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น: “Ted Lasso”
- การตัดต่อภาพยอดเยี่ยมด้วยกล้องตัวเดียวสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” A.J. Catoline
- การตัดต่อภาพยอดเยี่ยมด้วยกล้องตัวเดียวสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้: “Ted Lasso,” Melissa McCoy
- การผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น: “Ted Lasso”
- การตัดต่อภาพยอดเยี่ยมสำหรับรายการที่ไม่ใช่เรื่องแต่ง: “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry”
- การกำกับดนตรียอดเยี่ยม: “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry”
- การตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมสำหรับรายการที่ไม่ใช่เรื่องแต่งหรือรายการเรียลลิตี้ (กล้องตัวเดียวหรือหลายตัว): “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry”
- การผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับรายการที่ไม่ใช่เรื่องแต่งหรือรายการเรียลลิตี้ (กล้องตัวเดียวหรือหลายตัว): “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry”
- การพากย์เสียงตัวละครยอดเยี่ยม: “Central Park,” Stanley Tucci
- การพากย์เสียงตัวละครยอดเยี่ยม: “Central Park,” Tituss Burgess
- ผู้บรรยายยอดเยี่ยม: “Mythic Quest,” Anthony Hopkins
- การตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์แนวคอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น: “Mythic Quest”
- รายการพิเศษยอดเยี่ยมแนวสารคดีหรือที่ไม่ใช่เรื่องแต่ง: “Boys State”
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับรายการแนวสารคดี/ไม่ใช่เรื่องแต่ง: “Boys State”
- ผู้บรรยายยอดเยี่ยม: “The Year Earth Changed,” David Attenborough
- การแต่งหน้าแนวร่วมสมัยยอดเยี่ยมสำหรับรายการแนววาไรตี้ ไม่ใช่เรื่องแต่ง หรือเรียลลิตี้ (ไม่ใส่อุปกรณ์เทียม): “Mariah Carey’s Magical Christmas Special”
- การผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์หรือรายการพิเศษแนววาไรตี้: “Bruce Springsteen’s Letter to You”
- ซีรีส์แนวคอมเมดี้ ดราม่า หรือวาไรตี้ขนาดสั้นยอดเยี่ยม: “Carpool Karaoke: The Series”
ในปีก่อนหน้านี้ Apple ได้รับสิทธิ์ให้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Award เป็นปีแรก และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 18 รางวัล สำหรับรายการอย่าง “The Morning Show,” “Beastie Boys Story,” “Defending Jacob,” “Central Park,” “Home” และ “The Elephant Queen” โดยมีซีรีส์ ภาพยนตร์ และสารคดี Apple Original ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติไปแล้ว 117 รางวัล และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกถึง 471 รางวัลในเวลาไม่ถึง 2 ปี
“Ted Lasso” Jason Sudeikis รับบทเป็น Ted Lasso โค้ชอเมริกันฟุตบอลที่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลอังกฤษ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ถึงจะไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่สิ่งที่เขามีให้แบบเต็มๆ ก็คือการมองโลกในแง่ดี ความใจสู้แบบทีมรอง และ… บิสกิต แล้วยังมี Hannah Waddingham, Brendan Hunt, Jeremy Swift, Juno Temple, Brett Goldstein, Phil Dunster และ Nick Mohammed มาร่วมแสดงในซีรีส์ที่ได้รับคำชมมากมายเรื่องนี้ด้วย โดยในซีซั่นใหม่นี้จะมี Sarah Niles มารับบทเป็น Sharon นักจิตวิทยากีฬาที่จะเข้ามาร่วมงานกับทีม AFC Richmond
นอกจาก Sudeikis จะนำแสดงในเรื่องนี้แล้ว เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างคู่กับ Bill Lawrence ผ่าน Doozer Productions ของตนเอง ร่วมกับ Warner Bros. Television และ Universal Television ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Universal Studio Group นอกจากนี้ยังมี Jeff Ingold จาก Doozer เป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยมี Liza Katzer เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม ซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานของ Sudeikis, Lawrence, Brendan Hunt และ Joe Kelly โดยอ้างอิงจากรูปแบบและตัวละครที่มีอยู่เดิมจาก NBC Sports
“Mythic Quest” เมื่อการกักตัวสิ้นสุดลง “Mythic Quest” ซีซั่น 2 ก็หวนคืนสู่ออฟฟิศกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา (เกือบครบทุกคน) และพยายามสานต่อความสำเร็จของเกม “Raven’s Banquet” โดยการเปิดตัวภาคเสริมที่อลังการยิ่งกว่าเดิม แต่ Ian (Rob McElhenney) และผู้กำกับร่วมฝ่ายครีเอทีฟที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาอย่าง Poppy (Charlotte Nicdao) กลับต้องเจอปัญหากับทิศทางของเกมนี้ ในขณะเดียวกัน C.W. (F. Murray Abraham) ก็พยายามสะสางปัญหาค้างคาในอดีต ส่วนสองนักทดสอบเกม (Ashly Burch และ Imani Hakim) ก็ต้องเจอบททดสอบเรื่องขอบเขตของความรักในที่ทำงาน ในขณะที่ David (David Hornsby) เองก็เสียผู้หญิงในชีวิตของเขาไปอีกคนเมื่อ Jo (Jessie Ennis) ทิ้งเขาไปช่วยงาน Brad (Danny Pudi)
“Mythic Quest” คือผลงานการสร้างสรรค์ของ Rob McElhenney, Charlie Day และ Megan Ganz อำนวยการสร้างโดย McElhenney และ Day ภายใต้สังกัด RCG, Michael Rotenberg และ Nicholas Frenkel ในนามของ 3 Arts รวมถึง Jason Altman, Danielle Kreinik และ Gérard Guillemot สำหรับ Ubisoft Film and Television นอกจากนี้ยังมี David Hornsby และ Megan Ganz เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย ซีรีส์เรื่องนี้คือผลงานการผลิตของ Lionsgate, 3 Arts Entertainment และ Ubisoft ให้กับ Apple TV+
“Billie Eilish: The World’s A Little Blurry” “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry” เล่าเรื่องราวการก้าวผ่านช่วงวัยของนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง และการพุ่งขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ดังระดับโลก นี่คือผลงานจากผู้สร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอย่าง R.J. Cutler ซึ่งจะพาเราไปสัมผัสกับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาของนักร้องสาววัยรุ่นอายุเพียง 17 ปี อย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง โดยที่ผู้ชมจะได้เกาะติดชีวิตของเธอทั้งตอนเดินทาง บนเวที และอยู่ที่บ้านกับครอบครัวในขณะที่เธอเขียนเพลงและบันทึกเสียงในอัลบั้มแจ้งเกิด “WHEN WE ALL FALL ASLEEP, WHERE DO WE GO?” “Billie Eilish: The World’s A Little Blurry” เป็นผลงานการสร้างของ Apple Original Films, Interscope Films, The Darkroom และ This Machine ร่วมกับ Lighthouse Management & Media
“Boys State” “Boys State” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการก้าวผ่านช่วงวัยทางการเมือง ซึ่งเล่าเรื่องการเดินทางสุดห้าวเข้าสู่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของประชาธิปไตยในแบบฉบับอเมริกันโดยอาศัยกิจกรรมประจำปีที่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากทั่วรัฐเท็กซัสมารวมตัวกันเพื่อสร้างรัฐบาลที่เป็นตัวแทนประชาชนโดยเริ่มจากศูนย์ และเมื่ออุดมการณ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมต้องมาปะทะกับกลอุบายอันแยบยล เด็กหนุ่ม 4 คนจากต่างภูมิหลังและมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดตั้งพรรคการเมือง การสรุปหามติที่เป็นเอกฉันท์ และการหาเสียง เรื่องราวของ “Boys State” หักมุมไปมาในแบบที่คาดไม่ถึงโดยที่พวกเขาจะต้องรับมือกับสารพัดเรื่อง ทั้งการกล่าวหาเพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง การโต้วาทีอันดุเดือด หรือแม้แต่การปล่อยภาพล้อเลียนต่ำๆ ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เราได้รับรู้ความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับทางเลือกทางการเมืองที่เรามีและหน้าที่ของพลเมือง พร้อมกับเผยให้เห็นเส้นแบ่งทางการเมืองทั้งในรัฐเท็กซัสและในชาติของเรา ซึ่งเป็นการย้ำเตือนว่าที่สุดแล้วประชาธิปไตยอาจไม่ใช่เกมกีฬาที่ดูสนุกสักเท่าไหร่ “Boys State” เป็นผลงานการสร้างของ Mile End Films และนำเสนอโดย Concordia Studio โดยมี Laurene Powell Jobs, Davis Guggenheim, Jonathan Silberberg และ Nicole Stott เป็นผู้อำนวยการสร้าง
“Central Park” “Central Park” คือแอนิเมชั่นแนวละครเพลงคอมเมดี้เกี่ยวกับครอบครัว Tillermans ที่ใช้ชีวิตอยู่ใน Central Park โดยมี Owen เป็นผู้จัดการสวนสาธารณะ ส่วน Paige ภรรยาของเขาเป็นนักข่าว ทั้งคู่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ซึ่งก็คือ Molly และ Cole ในสวนสาธารณะชื่อดังของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยขัดขวางแผนการของลูกสาวเจ้าของโรงแรมอย่าง Bitsy Brandenham กับผู้ช่วย Helen ที่จ้องแต่จะเปลี่ยนสวนสาธารณะให้กลายเป็นคอนโด “Central Park” คือผลงานการสร้างสรรค์ เขียนบท และอำนวยการสร้างของ Loren Bouchard ซึ่งได้รับรางวัล Emmy Award (“Bob’s Burgers”) ร่วมกับ Josh Gad ซึ่งได้รับรางวัล Grammy Award (“Frozen”) และ Nora Smith ซึ่งได้รับรางวัล Emmy Award (“Bob’s Burgers”) นอกจากนี้ยังมี Sanjay Shah และ Halsted Sullivan เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย ซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานของ 20th Century Fox Television
“Bruce Springsteen’s Letter to You” “Bruce Springsteen’s Letter to You” เล่าเรื่องราวการบันทึกเสียงอัลบั้ม “Letter To You” ของ Springsteen ร่วมกับทั้งวง The E Street Band โดยที่ผู้ชมจะได้เต็มอิ่มกับการแสดงสดที่นำมาใช้เป็นเทคสุดท้ายของบทเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง 10 เพลงในอัลบั้มใหม่นี้ ผลงานเรื่องนี้เขียนบทโดย Springsteen และกำกับโดย Thom Zimny ซึ่งร่วมงานกับเขามาอย่างยาวนาน (“Western Stars,” “The Gift: The Journey of Johnny Cash,” “Springsteen on Broadway”) นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วง The E Street Band, ดนตรีร็อค และอิทธิพลที่เพลงร็อคมีต่อชีวิตของ Springsteen
“Mariah Carey’s Magical Christmas Special” เมื่อต้องเผชิญกับภาวะเงียบเหงาในช่วงเทศกาลวันหยุด ขั้วโลกเหนือรู้ดีว่ามีคนเดียวที่จะช่วยกอบกู้วิกฤติครั้งนี้ได้ ซึ่งก็คือ Mariah Carey เพื่อนสนิทของซานต้านั่นเอง ราชินีเพลงคริสต์มาสหนึ่งเดียวคนนี้จะมาช่วยสร้างสีสันอันตื่นตาตื่นใจให้กับเทศกาลวันหยุดเพื่อทำให้ทั้งโลกกลับมาสดใสเริงร่าอีกครั้ง ด้วยการผสมผสานระหว่างการแสดงในแบบละครเพลง ท่าเต้นที่มีชีวิตชีวา และแอนิเมชั่นสุดล้ำ “Mariah Carey’s Magical Christmas Special” มี Carey รวมถึง Ian Stewart, Raj Kapoor และ Ashley Edens ในนามของ Done + Dusted เป็นผู้อำนวยการสร้าง นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับรางวัล BAFTA Award อย่าง Hamish Hamilton และผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และ Golden Globe อย่าง Roman Coppola เป็นผู้กำกับ พร้อมกับรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง และมี Caroline Fox เป็นผู้เขียนบท
“Servant” เรื่องราวใน “Servant” ซีซั่น 2 เกิดการพลิกผันแบบเหนือธรรมชาติโดยมีอนาคตที่ดำมืดยิ่งกว่าเดิมรอคอยทุกคนอยู่เมื่อ Leanne (Nell Tiger Free) กลับมาที่บ้านหลังเดิมอีกครั้ง และตัวตนที่แท้จริงของเธอก็ถูกเปิดเผย “Servant” คือผลงานของ Tony Basgallop ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างและนักเขียนบทที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA และนอกจาก Shyamalan และ Basgallop แล้ว “Servant” ยังมี Ashwin Rajan, Jason Blumenthal, Todd Black และ Steve Tisch เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย รวมถึง Taylor Latham และ Patrick Markey ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน
“The Year Earth Changed” “The Year Earth Changed” นำเสนอฟุตเทจจากทั่วทุกมุมโลกหลังผ่านพ้นปีอันยากลำบากที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และนี่คือสารคดีตอนพิเศษที่มาแบบถูกที่ถูกเวลา ซึ่งจะเปิดมุมมองใหม่ให้กับภาวะล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะในวิกฤตินี้ยังมีเรื่องราวที่ดีต่อใจอยู่บ้าง ตั้งแต่การได้ยินเสียงนกร้องเป็นท่วงทำนองในเมืองที่ถูกทิ้งร้าง และการพบเห็นปลาวาฬใน Glacier Bay จนถึงการพบเจอฝูงคาปิบาร่าในแถบชานเมืองของทวีปอเมริกาใต้ เรียกได้ว่าผู้คนทั่วโลกต่างมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และในสารคดีตอนพิเศษนี้ ผู้ชมจะได้เห็นกับตาว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์แม้เพียงเล็กน้อย อย่างการลดจำนวนเรือสำราญที่สัญจรไปมา การปิดชายหาดเพียงไม่กี่วันต่อปี และการแสวงหาวิธีที่มนุษย์กับสัตว์ป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ดียิ่งขึ้นนั้น สามารถส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่อธรรมชาติได้สารคดีเรื่องนี้มี David Attenborough เป็นผู้บรรยาย และเป็นเสมือนจดหมายรักที่ส่งถึงโลกใบนี้ อีกทั้งยังเน้นให้เห็นถึงความทรหดและความสามารถในการฟื้นตัวของธรรมชาติ ซึ่งทำให้เรายังมีความหวังกับอนาคต