นุ๊ก สุทธิดา ตัดใจปล่อยลูกห่างอก “ปิ๊ปโป้-ปาแปง” โตเป็นหนุ่ม อยากใช้ชีวิตอิสระ ไปอยู่กับพ่อ พร้อมเผยมรสุมโรครุมเร้า มะเร็ง-ซึมเศร้า
อดีตนักร้องดังยุค90 นุ๊ก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา เปิดใจกับ ข่าวสดออนไลน์ อัพเดตชีวิตครอบครัว บทบาทคุณแม่ลูกสาม เมื่อเล่าถึงเรื่องลูกชายทีไร น้ำตาไหลทุกที ด้วยความคิดถึง ยอมตัดใจปล่อยลูกห่างอก “น้องปิ๊ปโป้-น้องปาแปง” เริ่มโตเป็นหนุ่ม อยากโบยบินใช้ชีวิตอิสระ ไปอยู่กับคุณพ่อแล้ว พร้อมกับเผยมรสุมโรครุมเร้า ทั้งมะเร็ง เป็นซึมเศร้า ผ่านมันมาได้อย่างไร
อัพเดตชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร? “ลูกๆ 2 หนุ่ม(ปิ๊บโป้-ปาแปง)ก็ไปอยู่กับคุณพ่อและอากงเขา ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เขาโตเป็นหนุ่มก็โบยบินแล้ว นุ๊กว่าพ่อแม่ทุกคนมีความเป็นห่วงลูกมากๆ จนบางทีภาระของพ่อแม่คือทำยังไงก็ได้ให้เป็นห่วงลูกน้อยลง ปล่อยลูกให้มากขึ้น ตอนนี้พยายามจะคิดว่า หยุดๆ ท่องไว้ ปล่อยให้เขาใช้ชีวิต ปล่อยให้เขาโต เราก็มาเทียบกับตัวเองตอนเด็กๆ ในเจนเราอยากทำอะไร อยากได้อะไร เมื่ออายุผ่านไปจากเจนนี้แล้ว เราต้องการอะไร ก็เลยต้องมองไปข้างหน้า เพราะว่าตอนนี้มันเป็นช่วงที่เราต้องปล่อยให้เขาไปเจริญเติบโต แต่เราก็เตรียมตัวไว้สำหรับตอนที่เขาผิดพลาด ว่าเราจะพร้อมรับสถานการณ์แต่ละอย่างที่มันจะเกิดขึ้นยังไง ซัพพอร์ตเขายังไง”
คิดถึงลูกมากขนาดไหน ที่บอกว่าไลน์ไปแล้วลูกไม่ตอบ? “ถามอย่างนี้แล้วจะร้องไห้ คิดถึงมากๆ ที่สุด ต้องท่องไว้ว่าให้เขาเติบโตค่ะ บางทีเราคิดว่าเราคิดถึงวันหนึ่งสองวันสามวัน แต่เราลองย้อนกลับไปในวัยเรา เวลาเราไม่อยู่กับพ่อแม่เดือนนึงเรายังไม่รู้สึกว่ามันเป็นเดือนนึงเลย เพราะฉะนั้นเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความนานเท่าเรา เราก็ต้องเอาความรู้สึกเขามาจับอยู่ที่เราว่ามันก็ไม่ได้นานขนาดนั้น ต้องปล่อยให้เวลาเขาได้ไปเติบโต ก็นึกถึงเพลง ที่ว่าง ของพอส อินกับตัวเอง”
อัพเดตสุขภาพ? “เป็นโชคดีของเราที่ได้เป็นทั้งมะเร็งทั้งซึมเศร้า เราก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ บางคนบอกว่า เป็นมะเร็งหายแล้วสวยขึ้นมากเลย เปล่า มันเป็นผลข้างเคียง คือเราต้องดูแลตัวเองไงคะ นุ๊กจะรู้สึกว่าอยู่ยังไง ไม่ใช่อยู่ให้นาน คือถ้าอยู่ให้นานแล้วมันไม่ได้มีความสุขขนาดนั้นก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร โชคดีที่ได้เป็นซึมเศร้า พอเป็นซึมเศร้าเราก็จะรู้สึกว่ามันเมเนจการอยู่ของตัวเองได้ดีขึ้น เพราะจริงๆ นุ๊กว่าซึมเศร้าหนักกว่ามะเร็ง”
“นุ๊กเป็นซึมเศร้าการที่เรากินยาที่หมอจ่ายมาให้ผิด แล้วเคมีในสมอง สารสื่อประสาทมันไม่ทำงาน มันก็เลยมีอาการบวกกับเป็นไทรอยด์ เพราะไทรอยด์มันเกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมนอารมณ์ พอเราหาย รู้เลยว่ามันไม่มีอะไรแย่ ชีวิตไม่มีเงิน ไม่มีความรัก ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าความคิดที่สิ้นหวัง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรก็ได้ แต่เราจะต้องมีพลัง มีความคิดที่ไม่สิ้นหวัง ถ้าเรามองชีวิตเราย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น นุ๊กเชื่อว่าทุกคนมีข้อผิดพลาดหมดเลย ไม่มีอะไรเพอร์เฟ็กต์ แล้วก็คิดอยากจะกลับไปแก้ไข แต่ถ้าเราไม่คิดแบบนั้น คิดว่าผ่านมาได้ไง ดีนะเนี่ยไม่ตาย คือเปลี่ยนความคิดใหม่ มันก็จะมีพลังเดินต่อ”
อะไรที่ทำให้เราผ่านมรสุมโรครุมเร้า หนักหน่วงมาได้ อยู่กับมันได้อย่างมีความสุข? “ประเด็นแรกน่าจะเป็นเรื่องการตั้งคำถามกับตัวเอง บางคนตั้งคำถามผิดตั้งแต่แรก ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับฉันด้วยวะ ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ ประโยคคำถามแบบนี้มันไม่ได้ส่งผลต่อความเจริญในอนาคตหรือสร้างสรรค์อะไรกับเรา ไม่ต้องสตาร์ตที่จะตั้งคำถามพวกนี้ ไปตั้งคำถามอย่างอื่นดีกว่าว่า ฉันจะทำยังไงให้ผ่านเรื่องร้ายๆ พวกนี้ไปได้ ฉันจะทำยังไงให้วันพรุ่งนี้ฉันมีความสุข ถ้าเราตั้งคำถามผิด ต่อให้เราได้คำตอบมา คำตอบนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น ก็เปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า”
“นุ๊กจะไม่เคยถามตัวเองว่าทำไมชีวิตถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่เคยมีอยู่ในหัวเรื่องพวกนี้เลย แค่รู้สึกว่าเรื่องมันเกิดแล้วทำยังไงดี พอเรามีปัญหาเกิดขึ้นเยอะๆ นุ๊กมองว่าโชคดีมาก เพราะเมื่อก่อนตอนเด็กๆ นุ๊กเป็นคนหนีปัญหา จะเอาอะไรที่เราชอบ พอเราเจออะไรที่เราไม่ชอบ เราหนีเลย หนีสุดเหวี่ยง จนพอเราเกิดปัญหาเยอะๆ เรารู้ว่า แค่วิ่งชนเราชนะหนึ่งแล้วนะ เฮ้ย มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอกับการวิ่งชนปัญหา โชคดีเนาะที่เราได้เจอปัญหาเยอะๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่วิ่งชนปัญหาโดยที่เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นคนแบบนี้ คือมองโลกแบบนี้มันก็จะง่ายขึ้น”
หลายคนที่เป็นซึมเศร้า รู้สึกโชคร้าย ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง มีบางช่วงที่เคยดิ่งลงไหม? “ตอนที่ป่วยเป็น ตอนที่ป่วยบางทีชีวิตไม่ได้มีเรื่องอะไรแย่ขนาดนั้น พอเราจะคิดให้แย่แล้วเราป่วยมันก็แย่ไปหมด นอนๆ อยู่เราก็รู้สึกว่าฉันอยู่ทำไม ไม่มีคุณค่าอะไรกับโลกใบนี้เลย คือเราจะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีเราก็ได้นะ ซึ่งจริงๆ มันก็คือความป่วย นุ๊กก็อยากจะบอกว่าคนไม่เป็นไม่รู้หรอกว่ามันแย่จริงๆ แล้วนุ๊กถือว่าโชคดีที่มีโอกาสเจอสิ่งที่แย่ที่สุด นุ๊กเลยรู้ว่าจริงๆ ชีวิตที่ปกติคือชีวิตที่โชคดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลย”
“คนที่เป็นซึมเศร้าป่วยที่เคมีในสมอง ป่วยที่ร่างกาย แล้วมันส่งผลให้จิตใจป่วย เวลาเป็นซึมเศร้าแล้ว ส่วนมากคนจะเป็นแล้วกลับไปกินยาแล้วหาย แล้วกลับไปกินยาใหม่ ไม่ได้หายขาด จะกลับไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ผิด ถ้าเราไม่ไหวก็กลับไปกินยา”
“ที่นุ๊กเป็นเพราะเราไปกินยาผิด แต่ทัศนคติเรามันไม่ได้พาเราป่วย ด้วยความที่ยาเรามันป่วย มันเลยพาไปไกล แต่วันที่หายแล้วหยุดยาวันแรก แล้วท้องฟ้ามันเริ่มสว่าง เราปฏิญาณกับตัวเองว่า ฉันจะไม่กลับไปเป็นซึมเศร้าอีกแล้ว ถ้ากลับไปเป็นอีกฉันขอตายเลยดีกว่า เราต้องฮีลตัวเองให้ได้ อยู่กับสติ กับปัจจุบันตัวเราให้ได้มากที่สุด”
“จะบอกว่าไม่เครียดไม่ได้หรอก ต่อให้คนไม่เป็นซึมเศร้าทุกวันนี้ก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว วิธีฮีลตัวเองจากความเครียด อย่าพูดว่า อย่าไปเครียดสิ คิดบวกสิ ฟังธรรมะสิ เวลาคนเครียดบางทีสมองมันปิดทุกอย่าง แต่ให้กลับมาตั้งต้นอย่างนี้ เวลาทำงานเครียดไปเลย แต่เวลาพักทำยังไงก็ได้ให้ได้พักจริงๆ เวลานอนทำยังไงก็ได้ให้ได้นอนจริงๆ เรื่องนี้สำคัญมากๆ นุ๊กถึงโชคดีที่ไม่ได้กลับไปทานยาอีก เพราะว่าถึงเวลาที่นุ๊กเริ่มสั่นคลอนรู้แล้วว่าตัวเองอาการจะมา ให้กลับไปตั้งต้นที่การกินการนอน ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ ทานข้าวให้ตรงเวลาครบห้าหมู่แล้วมันจะไม่เป็นอาการแบบนี้ จะไม่เป็นซึมเศร้า”
“ตอนนี้หายแล้ว ซึมเศร้ามันเหมือนคนที่เปิดประตูแล้ว ประตูมันไม่ได้ล็อก เพราะฉะนั้นอาการทางสมองพร้อมจะมาเรื่อยๆ ถ้าเรานอนไม่พอ ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ อาการมันจะเริ่มมา จิตใจมันจะวูบๆ ไม่ปกติ ถ้าเราสังเกตตัวเองดีๆ มีสติ ไม่ได้เพลินไปกับสิ่งเร้าข้างหน้า เราจะรู้ว่าอาการมันจะมา”
ตอนเป็นหนักๆ ถึงขั้นทำร้ายตัวเองไหม? “เป็นการแพลนมากกว่า ระดับความคิด นุ๊กโชคดีที่หาจิตแพทย์ตั้งแต่เป็นได้สักเดือนกว่าๆ ไม่เกิน 3 เดือน ช่วงจังหวะที่นุ๊กกินยาผิดไป 2 เดือน ระหว่างนั้นยามันเริ่มออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท พอเดือนนึงรู้ตัวแล้วว่าผิดปกติ โชคดีนุ๊กมีเพื่อนเป็นซึมเศร้า นุ๊กเลยรู้ว่าอาการแบบนี้มันเหมือนที่เพื่อนเล่าให้ฟัง ก็เลยไปหาจิตแพทย์”
“คือเริ่มรู้ตัวว่าเป็นประมาณ 2 ปีที่แล้ว คือมันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิต แย่จริงๆ แย่แบบชีวิตคุณจะคอนเน็กกับใครไม่ได้เลยแม้แต่ธรรมชาติ คุณจะอยู่ทำไม แล้วมันเหมือนฝนจะตกทั้งวันทั้งปีทั้งชาติ จะเห็นเป็นสีชาๆ ไม่ได้เคลียร์ เวลาที่เรามีคนป่วยซึมเศร้าให้ดูแลเขาให้ดี มันแย่จริงๆ แต่นุ๊กก็เข้าใจเพราะคนรอบข้างที่อยู่กับนุ๊กวันนั้นก็ต้องใช้ความอดทนสูงมากจริงๆ ที่จะอยู่กับคนที่อารมณ์เหมือนฝนตกตลอดเวลา”
สามีให้กำลังใจยังไงบ้าง? “พื้นฐานนุ๊กเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยเปิดตัวเอง เหมือนเฟรนด์ลี่แต่เราไม่ได้เป็นคนเปิดแม้แต่สามี แต่เขาก็จะอยู่กับนุ๊กด้วยความพยายามและรู้ว่าจะอยู่กันแบบไหน เขารู้ว่าเรากำลังฮีลตัวเอง พอเรารู้ว่าเราผิดปกติเราฮีลตัวเองทันที จิตแพทย์ก็ยังงงว่าทำไมเราเป็นคนที่ฮีลตัวเองตลอดเวลา สามีเขาก็จะอยู่กับนุ๊กแบบไม่มากดดัน ปล่อยให้เธอใช้ชีวิตจนหาย ต้องให้เวลาฉันได้กินได้นอนได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เขาก็จะรู้”