‘จุรินทร์’ สั่งคุมเข้มสินค้า หลังน้ำมันขึ้นสูง หากปรับราคาต้องยึดเกณฑ์กรมการค้าภายใน พร้อมแก้ปัญหาปาล์มพุ่ง หวั่นขาดตลาด ชี้ทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชนหลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ว่า ยอมรับว่าราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นจริง จากผลกระทบสงครามรัสเซีย และยูเครน จนส่งผลกระทบทั่วโลก และน้ำมันก็เป็นต้นทุนทั้งการผลิต และการขนส่ง ทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีการปรับตัว แต่สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อประเทศไทย ยังอยู่ที่ประมาณ 4% ต่ำกว่าหลายประเทศ
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมเข้าไปกำกับดูแล ทั้งการควบคุมปริมาณสินค้าไม่ให้ขาดตลาดวัตถุดิบต้องมีเพียงพอ เพราะหากสินค้าขาดตลาด ก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอีก รวมถึงการควบคุมราคาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
“หากต้นทุนสูงจากราคาน้ำมัน กระทบค่าขนส่ง ผู้ประกอบการอาจต้องขอปรับราคา แต่การอนุญาตให้ปรับนั้น จะต้องยึดกฎเกณฑ์ของกรมการค้าภายในที่จะต้องขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ไม่ทำให้ผู้ประกอบการขาดทุนจนยุติการผลิต เพราะหากผู้ประกอบการยุติการผลิตก็จะทำให้สินค้าขาดตลาดอีก จะยิ่งกระทบหนักกว่าสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และไม่มีของใช้”
ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ จะช่วยให้เกิดความสมดุลของราคาตรวจสอบการขึ้นราคาสินค้าตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ให้ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคสามารถอยู่ได้เป็น Win-Win Model ได้รับประโยชน์ร่วมกัน พร้อมยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์จะดูแลกำกับราคาสินค้าให้อย่างดีที่สุด
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า วันพรุ่งนี้ (8 พ.ค.) กระทรวงพาณิชย์ จะเปิดโครงการพาณิชย์ลดราคา Back To School ลดราคาอุปกรณ์การเรียน และชุดนักเรียนหลายรายการ และบางรายการสินค้าตรึงไว้ไม่ให้ขึ้นราคา รวมถึงในสัปดาห์หน้าจะมีโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชนล็อตใหม่ในหมวดสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเป็นทางเลือกในการแบ่งเบาภาระประชาชนจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
เมื่อถามถึงราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวสูงขึ้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาน้ำมันปาล์มขวดสูงขึ้น เพราะราคาปาล์มปรับตัวจากกิโลกรัมละ 2 บาท เป็น 12 บาท ซึ่งเกษตรกรไม่ต้องการให้ราคาผลปาล์มดิบตกลงมาโดยไม่จำเป็น ในเมื่อเกษตรกรได้ประโยชน์ แต่ผู้ผลิตในสายการผลิตได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น ฉะนั้นการกำกับราคาจะต้องพิจารณาให้ผู้ที่อยู่ในสายการผลิต สามารถผลิตน้ำมันปาล์มต่อได้ เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตต้องเลิกการผลิต ซึ่งจะทำให้เกษตรกรไม่สามารถขายผลปาล์มดิบได้ต่อ
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งกรมการค้าภายใน กำลังเร่งหารือกับเกษตรกร เจ้าของโรงกลั่น ผู้จำหน่าย และผู้ส่งออกมาหารือร่วมกัน เพื่อให้มีน้ำมันปาล์มบริโภคในประเทศเพียงพอ และราคาไม่สูงจนเกินไป ให้เกษตรกรยังสามารถขายปาล์มเพื่อยังชีพได้