‘เอ้ สุชัชวีร์’ ยก ‘อภิรักษ์’ เป็นที่ปรึกษา ลั่นจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่ซื่อสัตย์สุจริต ภูมิใจอยู่กับ ปชป. ด้าน ‘อภิรักษ์’ ชู 4 ข้อ ‘สุชัชวีร์’ พร้อมเป็นผู้ว่าฯ
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2565 ที่โรงเรียนวัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 4 พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรก โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก พร้อมกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายเมธี อรุณ หรือเมธี ลาบานูน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส
โดยมี ผู้สมัคร ส.ก. 6 เขต ประกอบด้วย นายนที เข็มศรีสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 2 เขตคลองสามวา, นายสุนันท์ มีนมณี ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 6 เขตคันนายาว, น.ส.ณัฐิดา เตาเฟ็ส ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 3 เขตหนองจอก, น.ส. ศรินทิพย์ มีนมณี ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 6 เขตมีนบุรี, นายณรงค์ศักดิ์ ฤทธิวรผล ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 3 เขตสายไหม และ น.ส.สุชาดา เวสารัชตระกูล ผู้สมัคร ส.ก. เบอร์ 6 เขตบางเขน ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย โดยมีประชาชนร่วมฟังจำนวนมาก
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.ปราศรัยว่า กรุงเทพฯ นอกจากเป็นจุดศูนย์รวมของโอกาสที่พี่น้องทุกภูมิภาคมาใช้ชีวิต ยังเป็นจุดศูนย์รวมของการศึกษา ดังนั้น การเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนกรุเทพฯ ไม่สามารถทำได้โดยคนคนเดียว ไม่สามารถทำได้ด้วยทีมงานที่ลงสมัครส.ก.เท่านั้น แต่ต้องอาศัยพี่น้องชาวไทยและชาวกทม.ทุกคน วันนี้ตนมีโอกาสให้กำลังใจนายสุชัชวีร์
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า ตนมี 4 เรื่อง ที่อยากเล่าให้ชาวกทม.และพี่น้องชาวไทยที่อยู่ในกรุงเทพฯ ให้มีความมั่นใจในผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 50 คน คือ 1.คนที่จะมาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม. ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ มีความสามารถและวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯให้เป็นเมืองน่าอยู่ เชื่อว่านายสุชัชวีร์มีความพร้อม ทั้งความสามารถวิสัยทัศน์ในการทำงานให้ชาว กทม.
2.คนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องแข็งแรงต้องทุ่มเท ต้องมุ่งมั่น ทำงานด้วยใจ เพราะกทม.มีความหลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ เชื่อว่านายสุชัชวีร์มีความพร้อม
3.ในยุคสมัยใหม่การเลือกผู้สมัครมาเป็นผู้ว่าฯกทม. และผู้สมัครส.ก.ต้องอาศัยนโยบายที่มีความสำคัญ เป็นนโยบายที่ผ่านทีมนักวิชาการ และประสบการณ์ที่ผ่านมาของนายสุชัชวีร์และผู้สมัครสก.ทั้ง 50 เขต และการสอบถามชาวกรุงเทพฯ ตนมั่นใจว่านโยบายในการเปลี่ยนชีวิตจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น และครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและะช่วยกันขับเคลื่อนกรุงเทพฯ ในอนาคต
และ 4.ประสบการณ์ในเรื่องของการบริหารจัดการซึ่งมีความสำคัญมากในการบริหารเมืองขนาดใหญ่ เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก ที่ใช้ชีวิตอยู่ในกทม. 10-12 ล้านคน แม้ในทะเบียนบ้านจะมีประชาชนอยู่ในกรุงเทพฯ 5-6 ล้านคนเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่จะต้องบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ที่มีความซับซ้อน แตกต่าง หลากหลาย
“ความต้องการแก้ปัญหามีตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน อย่างน้อย 4 ปีในวาระของผู้ว่าฯ กทม. และทีมงาน ซึ่งเป็นจุดแข็งและจุดที่แตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น เพราะนายสุชัชวีร์ผ่านประสบการณ์บริหารจัดการองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องร่วมกับ ส.ก.ทั้ง 50 เขต หรือแม้แต่ประชาชนที่จะมีส่วนสำคัญในการช่วยกันสะท้อนปัญหาในแต่ละพื้นที่ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ต้องเหมาะกับยุคสมัยของกรุงเทพฯ ในวันนี้และในอนาคต นายสุชัชวีร์พร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.” นายอภิรักษ์ กล่าว
จากนั้นเวลา 20.20 น. นายสุชัชวีร์ กล่าวปราศรัยว่า ตั้งแต่ประกาศตัวลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ตนได้เจอหลายสิ่งหลายอย่าง ถือว่าหนักหนาสาหัสมาก แต่ตนยืนยันว่ามาด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นบ้านเมืองนี้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม ตนไม่เคยท้อ ยิ่งเดินลงพื้นที่ ยิ่งรักคนกรุงเทพฯ และรักกรุงเทพฯ มากขึ้น
นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า วิสัยทัศน์ของตนชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลง และยิ่งมีความเข้มข้นในการตั้งใจจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งสวัสดิการ และเป็นเมืองต้นแบบของอาเซียนให้ได้ โดยสิ่งแรกที่ตนจะเริ่มทำ คือตนต้องการทำให้กรุงเทพฯ เป็นบ้านเมืองที่ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงบริการที่ดีได้เท่าเทียมกัน อีกทั้งต้องทำให้กรุงเทพฯ มีความทันสมัย
“หลายปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เสียโอกาสมาก และเสียโอกาสในการใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาซ้ำซาก ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือประชาชน ผมจึงตั้งใจที่จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่จะนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำเน่า รถติด และเรื่องความปลอดภัยของประชาชน”
นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ตนต้องการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเรา คือเรื่องการศึกษา พัฒนาโรงเรียนในสังกัดกทม. ด้วยนโยบาย 1 เขต 1 โรงเรียนต้นแบบที่มีคุณภาพเหมือนเป็นโรงเรียนสาธิต รวมถึงจะดูแลครูในโรงเรียนกทม. และครูในศูนย์เด็กเล็กอย่างดีที่สุด เพราะล้วนเป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่ดูแลลูกหลานของเรา และจะเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กๆ ได้รับอาหารและการดูแลอย่างดี ได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ด้านสาธารณสุข ตนมีประสบการณ์จากที่เคยได้สร้างอุปกรณ์การแพทย์และเป็นผู้ริเริ่มการก่อสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทั้งนี้ ตนตั้งใจจะเพิ่มกำลังแพทย์ พยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสังกัดกทม.
นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ด้านการสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนกรุงเทพฯ นั้น ตนมีนโยบายตั้งกองทุนเพื่อการจ้างงานชุมชน ทำให้ประชาชนได้รับเงินค่าจ้าง เงินเบี้ยเลี้ยง ขณะเดียวกันก็ทำให้เรามีคนที่มาดูแลผู้สูงอายุ ดูแลลูกหลานในชุมชนเราได้ กองทุนนี้จะทำให้ชุมชนฟื้นตัวได้ โดยสามารถนำเงินจากกองทุนนี้ในการไปซื้ออาหารจากในชุมชนมาทำอาหารให้กับลูกหลานของเราได้กินฟรี
“สิ่งเหล่านี้ทำให้เงินมีหมุนเวียนในชุมชน และนโยบายที่ปฏิบัติสำคัญของตน คือเรื่องการทำให้คน กทม.ได้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนชีวิตคนกรุงเทพฯ ได้ด้วย ทั้งในการเรียน การทำงาน การประกอบอาชีพ ตลอดจนจะมีส่วนช่วยในการช่วยชีวิตประชาชนและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ด้วย”
“ถ้าผมได้รับโอกาสจากพวกท่านเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่มีความมุ่งมั่นที่สุด และเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่เดินทุกที่ ไม่ใช่นั่งอยู่ในศาลาว่าการ กทม. แต่จะลงมาเดินดูแลพวกท่านในพื้นที่ของ กทม. จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ผมภูมิใจที่เป็นผู้สมัครในนามพรรรคประชาธิปัตย์”
“ผมมีโอกาสเดินตามรอยท่านอภิรักษ์ ผู้ว่าฯ กทม. 2 สมัย ที่จะมาเป็นที่ปรึกษาผม ผมภูมิใจ และวันนี้ไม่ใช่ทีมผมคนเดียว แต่เป็นทีมสุชัชวีร์ที่มาพร้อมกับ ส.ก. 50 คน ที่มีความมุ่งมั่นไม่น้อยกว่ากัน และผมกำลังบอกว่าการทดสอบที่ดีที่สุดคือการทดสอบในช่วงที่วิกฤตและท้าทายที่สุด ผมกำลังบอกว่าวันนี้ สิ่งที่มีอยู่กำลังทดสอบผมว่าผมจะทำได้หรือไม่ และผมบอกว่าผมไม่ท้อ ผมทนได้ และผมจะเป็นผู้ว่าฯ ที่เปลี่ยน กทม. เราทำได้” นายสุชัชวีร์กล่าว