"สโต๊ค ซิตี้" : รวมพลแข้งโนเนมและบอลโยนโหม่งที่หลายคนอยากให้ดวล "บาร์ซ่า"

Home » "สโต๊ค ซิตี้" : รวมพลแข้งโนเนมและบอลโยนโหม่งที่หลายคนอยากให้ดวล "บาร์ซ่า"



"สโต๊ค ซิตี้" : รวมพลแข้งโนเนมและบอลโยนโหม่งที่หลายคนอยากให้ดวล "บาร์ซ่า"

ในช่วงปลายยุค 2000s ต่อ 2010s ลิโอเนล เมสซี่ กำลังไล่ระเบิดภูเขาเผากระท่อมทั้งในสเปนและยุโรป ใครต่อใครต่างยอมรับ ยกเว้นประเด็นหนึ่งที่มีคนชอบแย้งว่า..

“แต่พวกเขาทำแบบนี้ในค่ำคืนหนาวเหน็บที่ สโต๊ค ได้ไหมล่ะ?” (Can they do it on a cold rainy night in Stoke?)

ประโยคดังกล่าวพูดถึงความโหดจัดตามตำรับบอลอังกฤษโบราณของ สโต๊ค ซิตี้ ในยุคที่ โทนี่ พูลิส เป็นกุนซือ และเป็นคำถามที่มีคนเอาไปถามเมสซี่จริงๆ ที่สำคัญ เจ้าตัวเคยตอบด้วยว่าตัวเอง “เล่นได้ไหม?” 

สโต๊ค ชุดนั้นสร้างทีมด้วยปรัชญาอะไร? วลีอมตะโลกฟุตบอลประโยคนี้มาจากไหน? ติดตามได้ที่นี่

ต้นกำเนิด “พูลิส บอล” 

สโต๊ค ซิตี้ ไม่ได้มีส่วนร่วมกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเลย นับตั้งแต่รีแบรนด์จาก ดิวิชั่น 1 อย่างเป็นทางการในปี 1992 พวกเขาเป็นทีมเกรดล่างๆ ที่ไม่มีจุดเด่นอะไรในระดับสากลเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งการเข้ามาของกุนซือที่ชื่อว่า โทนี่ พูลิส ผู้ที่ทำฟุตบอลธรรมดาให้มีสีสันขึ้นมาได้ 

1

แรกเริ่ม พูลิสไม่ใช่นักเตะดังมาก่อน เขาเล่นให้กับทีมระดับดิวิชั่น 2 และ 3 ในช่วงยุค 80s จนกระทั่งเริ่มหันมาจับงานกุนซือในปี 1992 กับ บอร์นมัธ และล่องลอยไปกับหลายทีมจนกระทั่งมาเจอกับทีมอย่าง สโต๊ค ในปี 2002 

ในปีนั้น พูลิสเข้ามารับงานต่อจาก สตีฟ คอทเทอริลล์ และพาทีมหนีตกชั้นด้วยการเน้นซื้อนักเตะวัยเก๋าที่เข้าใจแท็คติกฟุตบอลเป็นอย่างดี ดีลยอดเยี่ยมในซีซั่นนั้นของเขาคือการซื้อ อเด อคินบาย กองหน้าดีกรีพรีเมียร์ลีกที่ขึ้นชื่อในเรื่องความ “สาก” จากเลสเตอร์ ซิตี้ และผู้รักษาประตูเสือเฒ่าที่แทบไม่ได้เล่นให้กับมิดเดิลสโบรช์ อย่าง มาร์ค ครอสลี่ย์ 

แรกเริ่มแฟนบอลก็งงว่า เอานักเตะเหล่านี้มาจะช่วยให้ทีมหนีตกชั้นได้อย่างไร? แต่กลับกลายเป็นว่าแฟนบอลของสโต๊คได้เริ่มรู้จักฟุตบอลสไตล์ “พูลิส บอล” ก็วันนี้นี่เอง

2

บอลโยนกระหน่ำจากหลังไปหน้า ไดเรกต์ เพลย์ แบบไม่สนใจคู่แข่งที่พบเจอ เน้นลูกตั้งเตะทุกระยะ และข่มขวัญคู่แข่งด้วยนักเตะที่มีสภาพจิตใจดุดันไม่กลัวใคร ความลับของ สโต๊ค ภาคแรกมันง่ายๆเช่นนั้นเอง แต่มันกลับทรงประสิทธิภาพจนทีมสามารถไต่อันดับกลับมาเกาะโซนกลางตารางได้อย่างสวยงาม ทุกคนหวังว่าพูลิสจะได้ไปต่อ

แต่เมื่อฤดูกาลจบ เขาร้องขอเงินที่จะซื้อนักเตะเพิ่มและตั้งเป้าสู่การเลื่อนชั้นไปพรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสรจากผู้บริหาร ทว่าเขาถูกปฏิเสธ และพูลิสยอมรับว่าถ้าให้ทำทีมแบบอยู่ไปวันๆ ประคองตัวโดยไม่มีเป้าหมาย เขาลาออกดีกว่า เจ้าตัวตัดสินใจเช่นนั้นจริงๆ ลาออกโดยไม่ง้อใคร แต่เป็นแฟนบอลของทีมนั่นแหละที่คิดถึง “พูลิส บอล” ของพวกเขาแทบจับใจ 

สโต๊ค ผลงานแย่มากหลังจากไม่มีพูลิส จนทำให้เกิดการขายสโมสรให้กับ ปีเตอร์ โคตส์ และทันทีที่ได้เจ้าของใหม่ สโต๊ค ติดต่อหารักเก่าอย่าง พูลิส ทันที และจากนั้นการเซ็นสัญญาก็เกิดขึ้นในปี 2006 หนนี้พูลิสได้รับการยืนยันว่า “จัดเต็มได้เลย” ไม่ว่านักเตะคนไหนที่เขาต้องการ หากไม่เกินงบประมาณของสโมสร ทีมบริหารจะอนุมัติให้แบบไม่มีกั๊ก คำสั่งนั้นเหมือนการคืนชีพ พูลิส บอล ที่สมบูรณ์แบบกว่าที่เขาเคยทำในภาคแรก เป้าหมายชัดเจนคือการขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

อยากรอด อย่าเยอะ 

การกลับเข้ามาสู่ทีม สโต๊ค ในฤดูกาล 2006-07 กลายเป็นการสร้างทีมที่มีสไตล์ชัดเจนมากที่สุดแห่งยุค พูลิสมีวิธีเลือกนักเตะที่มีหัวจิตหัวใจเป็นนักสู้ มีประสบการณ์ และมีลักษณะทางกายภาพที่แข็งแกร่ง นั่นจึงทำให้ได้นักเตะอย่าง แดนนี่ ฮิกกินบอตทอม, ริคาร์โด ฟูลเลอร์, ซาลิฟ ดิเยา และ รอรี่ ดีแลป เข้ามาร่วมทีม จากนั้นพวกเขาก็ตัดนักเตะที่กินค่าเหนื่อยเยอะแต่ไม่ได้เล่นอย่าง ลี เฮนดรี ออกไป เสริมกองหลังดาวรุ่งจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง ไรอัน ชอว์ครอสส์ สุดท้าย สโต๊ค ก็ได้เลื่อนชั้นสำเร็จในฤดูกาล 2007-08

3

หลายทีมที่ได้ขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีกมักจะเลือกใช้วิธีทุบหม้อข้าว เหมานักเตะใหม่มาเป็นเข่งเพื่อยกระดับทีม ไปพร้อมกับตัดหางปล่อยวัดนักเตะที่ร่วมหัวจมท้าย ทว่าไม่ใช่กับพูลิส เขายืนยันกับลูกทีมทุกคนว่า เมื่อช่วยกันพาทีมเลื่อนชั้น ทุกคนที่มีส่วนร่วมต้องได้ไปต่อ เพียงแต่ทุกคนต้องเข้าใจว่า นี่คือลีกที่แข็งแกร่งกว่าเดิม นักเตะแต่ละคนต้องพัฒนาตัวเองขึ้นอีกระดับ โตขึ้นไปพร้อมๆกัน 

“ผมรู้ว่าผมกำลังจะได้กลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และผมเชื่อใจ โทนี่ พูลิส สุดๆ โดยเฉพาะสไตล์การทำทีมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา” แดนนี่ ฮิกกินบ็อตทอม ที่เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกกับหลายทีมกล่าว

“เมื่อคุณได้รับการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก มีหลายทีมที่ทำผิดไป นั่นคือการใช้เงินจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนทีม เปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง ซึ่งพูลิสบอกว่าไร้สาระมาก ผมอยู่ในทีมสโต๊คชุดนั้น ผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ผมก็รู้แล้วว่านักเตะพวกนี้แข็งแกร่งพอกับการลุยลีกสูงสุด ทุกคนคือพี่บิ๊กตัวจริง และเราต่างก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น”

“เรามีวิธีการเล่นที่เฉพาะเจาะจงแบบที่ไม่มีใครเหมือน มันคือความเรียบง่ายที่แสนอัจฉริยะเลยผมจะบอกให้” 

สโต๊คขึ้นพรีเมียร์ลีก ก่อนจะเขย่าขวัญฟุตบอลยุคที่กำลังนิยมความสวยงามในการเล่นและการเข้าทำ พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวตนของตัวเองจริงๆอย่างที่ฮิกกินบ็อตทอมว่า ซึ่งความแตกต่างจากทีมอื่นๆที่พยายามเซ็ตบอลกับพื้น ทำชิ่ง เน้นเทคนิค ทำให้สโต๊คเป็นของแสลงที่ใครก็ไม่อยากจะดวลด้วย

พวกเขาอัดปะทะด้วยความหนักหน่วงเหมือนกับฟุตบอลลีกล่าง พวกเขาเล่นลูกกลางอากาศทุกจังหวะ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งลูกทุ่มที่ไม่มีใครหยุดได้ของ รอรี่ ดีแลป นักเตะของสโต๊คจะกองกันหน้าเขตโทษ ซึ่งพวกเขาแต่ละคนสูงระดับ 190 เซนติเมตรกันเกือบครึ่งทีม และแน่นอนพวกเขาไม่เคยกลัวใครด้วย 

4

อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของอาร์เซน่อล ตัวแทนของฟุตบอลสวยงาม คือทีมที่ผูกปีแพ้สโต๊ค เพราะสไตล์ที่หักล้างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งหนึ่ง เวนเกอร์เคยหัวเสียจากสไตล์ของ “พูลิส บอล” จนทำให้เขาต้องออกปากว่า “เล่นกับ สโต๊ค เหมือนเล่นฟุตบอลกับทีมรักบี้” 

“เวลาที่ทีมไหนแข่งกับสโต๊ค คุณไม่สามารถพูดได้เลยว่าเรากำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ พวกนี้มันเล่นรักบี้ชัดๆ พวกเขาใช้ยักษ์ปักหลั่นอย่าง ไรอัน ชอว์ครอสส์ กับ โรเบิร์ต ฮูธ ขึ้นมาอัดผู้รักษาประตูคู่แข่ง ไม่เชื่อคุณไปดูก็ได้ เอเรลโญ โกเมส (ผู้รักษาประตูของท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์) โดนอัดจนอ่วมและแทบไม่ได้ฟาวล์ แบบนี้มันจะเป็นฟุตบอลได้เหรอ?” เวนเกอร์กล่าว 

ไม่ใช่แค่เวนเกอร์ ที่บ่นกับสไตล์การเล่นที่ไม่รู้จะจัดการยังไงกับสโต๊ค ทั้งที่นักเตะบ้านๆ แต่ทีมก็เกาะกลุ่มท็อป 10 สบายๆ ด้วยสไตล์การเล่นนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เคยบ่น, ราฟาเอล เบนิเตซ ก็เคยบ่น ใครก็บ่นปวดหัวกับ พูลิส บอล กันทั้งนั้น แต่สำหรับสโต๊คเอง พวกเขาส่ายหัวและบอกได้แค่ว่า “นั่นคือปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา” เพราะพวกเขาภูมิใจกับสไตล์ที่สร้างขึ้นมาได้ 

“หลายคนแสดงความคิดเห็นเชิงติเตียนถึงสไตล์การเล่นของทีมผม ผมไม่เถียงหรอกนะ ก็ผมชอบของผมแบบนี้ ผมชอบให้ทีมเอาฟุตบอลเดินทางจากหลังไปหน้าให้เร็วที่สุด เล่นด้านกว้างเข้าไว้ จากนั้นก็ใช้ความยอดเยี่ยมของนักเตะจัดการคู่แข่ง” พูลิสอธิบายถึงสไตล์การเล่นของทีมเขาเอง

“คุณอยากให้ปีกของผมลงไปล้วงบอล แล้วลากเลื้อยต่อบอลแบบเท้าสู่เท้าขึ้นมายิงประตูอย่างนั้นหรือ? เอาไว้ผมมีนักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ แกเรธ เบล ก่อนก็แล้ว ผมจะทำบอลของผมแบบนี้ ใครจะทำไม? นี่คือสไตล์ที่เหมาะกับนักเตะที่ผมมี ทุกคนรู้ว่าพวกเรายอดเยี่ยมขนาดไหน เราคือ สโต๊ค ซิตี้ และเราทำทีมตามงบประมาณที่เราสามารถจะจ่ายได้” 

5

บริแทนเนีย สเตเดียม (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อตามสปอนเซอร์เป็น เบท 365 สเตเดียม) ของพวกเขาคือนรกทีมเยือน โดยเฉพาะทีมใหญ่ที่มีสไตล์เข้าทางกับการเล่นของพวกเขา เหล่าทีมบิ๊ก 6 หวาดกลัวกับเหล่ายักษ์ที่จะขึ้นมาออกันเต็มเขตโทษไม่ว่าจะของตัวเองในยามตั้งรับ หรือเขตโทษของคู่แข่งในยามได้เล่นลูกนิ่ง 

ขณะเดียวกับที่คนเกลียดเยอะ สโต๊คก็สร้างชื่อ และเริ่มมีแฟนบอลชื่นชอบพวกเขามากขึ้นในฐานะมวยรองที่น่าเชียร์ แกรี่ เนวิลล์ อดีตนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันเป็นนักวิจารณ์ของ สกาย สปอร์ตส์ บอกว่าเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูสโต๊คเล่น เพราะไม่มีทีมไหนแตกต่างเหมือนกับพวกเขาอีกแล้ว

“บอกตรงๆว่าผมชอบมาก ถ้าจะให้ลงรายละเอียด คงต้องเล่ากันเป็นวันๆว่าดูสโต๊คมันสนุกยังไง” เนวิลล์ผู้พี่เริ่มกล่าว

“ผมชอบที่เมื่อ เกล็น วีแลน ได้บอลเมื่อไหร่ ปีเตอร์ เคราช์ กับ จอน วอลเตอร์ จะเริ่มวิ่งไปยังจุดทำการ เมื่อวอลเตอร์เข้าถึงจุดที่ซ้อมกันไว้ บอลโด่งจะมาถึงเคราช์เพื่อส่งต่ออีกครั้ง พวกเขาจะเหลือบมองกันนิดหน่อยและสบตากันว่า ‘นั่นไง หมอนี่มาแล้ว’ จากนั้นผู้เล่นแนวรุกทุกคนจะวิ่งขึ้นประจำการ และเริ่มทำแผนสังหารตามที่ซ้อมกันไว้” 

6

“ถ้าพวกเขาโดนตัดบอลได้ กองกลางจะไล่หวดตั้งแต่จังหวะแรก หยุดทุกวิถีทางแม้จะต้องเสียฟาวล์ และเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายได้เล่นลูกนิ่งบ้าง นั่นแหละลูกสูตรก็บังเกิด”

“ผมไม่ได้ดูถูกพวกเขานะ ผมชื่นชม นี่ไม่ใช่ของง่ายเลย การเล่นบอลโด่งที่เร็วและแม่นยำเป็นเรื่องยากมาก ทุกคนต้องทำหน้าที่ให้เป๊ะและสมบูรณ์แบบ แต่สโต๊คทำกันได้ ผมเชื่อว่ามันผ่านการซ้อมกันมาแบบพิถีพิถันแบบสุดๆ วันไหนมีลมแรงเป็นใจ พวกเขาจะยิ่งดุดันขึ้นไปอีก”

“โทนี่ พูลิส สมควรได้รับการชื่นชมจากการสร้างทีมทีมนี้ขึ้นมา ถ้ามีรางวัลกุนซือยอดเยี่ยม ต้องเป็นเขาเลย” แกรี่ร่ายยาว 

สโต๊คอยู่รอดมาในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 10 ฤดูกาล ความเปลี่ยนแปลงของเรื่องนี้คงจะเป็นช่วงเวลาที่นักเตะที่เป็นนักรบคู่ใจของพูลิสเริ่มแก่และเลิกเล่นกันไป ปรัชญาของทีมจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนทำให้พูลิสต้องออกจากทีมไปหลังจบฤดูกาล 2012-13 เป็นอันปิดตำนานบอลโบราณทีมสุดท้ายในยุคพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ไม่มีสโมสรไหนทำซ้ำได้อีกแล้ว

ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป 

สโต๊คตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2017-18 และยังไร้วี่แววในการกลับมา ทว่ามีคำกล่าวที่เหมาะกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือคำว่า “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป” เพราะไม่ว่าจะผ่านมาแล้วหลายปี พูลิส บอล ยังคงตราตรึงและถูกพูดถึงเสมอ โดยเฉพาะในหมู่เหล่าทีมมหาอำนาจในลีกยุโรป

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดแห่งยุค กวาดแชมป์มามากมาย เล่าถึงความยอดเยี่ยมของสโต๊ค เมื่อครั้งที่เขาเข้าประชุมงานสัมมนาขององค์กรที่ชื่อว่า Elite Club Coaches ซึ่งรวมโค้ชแถวหน้าของโลกแทบทุกคนมารวมกัน ในการประชุมครั้งนั้น เรื่องราวของ “พูลิส บอล” ถูกพูดถึงในการสัมมนาด้วย 

7

“เซอร์ อเล็กซ์ (เฟอร์กูสัน) ออกมาจากห้องน้ำ และเราได้มีโอกาสคุยกันพอดี ผมทักทายเขาและได้คุยกันสั้นๆ หนึ่งในประเด็นวันนั้นคือเรื่องของ สโต๊ค ซิตี้ ที่ เซอร์ อเล็กซ์ พูดถึงพวกเขาอย่างสนุกสนานแบบสุดๆ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าเรื่องของ สโต๊ค ถูกยกเป็นประเด็นสนทนาหลักในการประชุมของเหล่าสโมสรชั้นยอดในวันนั้น” กวาร์ดิโอลา กล่าว

“สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดข้อหนึ่ง คือผมไม่ได้อยู่ที่พรีเมียร์ลีกในวันที่พูลิสเป็นกุนซือ (เป๊ป มาคุม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมา) ผมได้ยินเรื่องราวของเขามามากมาย โดยเฉพาะความอันตรายในการเล่นเกมบุกของพวกเขา คุณอาจจะหยุดลูกครอสได้ หยุดฟรีคิกได้ แต่ลูกทุ่มในแบบสโต๊คน่ะเหรอ? ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะหยุดมัน” เป๊ปว่าไว้ 

เรื่องของสโต๊คยุคพูลิส กลายเป็นประเด็นที่พูดกันหนาหูไม่ใช่แค่เหล่าโค้ช แต่แฟนบอลก็ยังจดจำฟุตบอลของพวกเขาได้ดีไม่เปลี่ยนแปลงแม้เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน พวกเขาฝังใจจนเอาประโยคที่บอกว่า “Can they do it on a cold rainy night in Stoke?” ที่ แอนดี้ เกรย์ นักพากย์ของ สกาย สปอร์ตส์ หลุดวลีนี้ออกมาในระหว่างที่มีการพูดถึงการชิงรางวัล ฟีฟ่า บัลลง ดอร์ ปี 2010 ระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ 

จากนั้นวลีดังกล่าวก็กลายเป็นมีมหลักที่เน้นไปทางด้านความสนุกสนาน เมื่อไรก็ตามที่มีนักเตะหรือทีมไหนในยุโรปที่โชว์ฟอร์มดี ประโยค “แต่พวกเขาทำแบบนี้ในค่ำคืนหนาวเหน็บที่สโต๊คได้ไหมล่ะ?” จะถูกยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้คนรู้สึกตลกขึ้นมาทันที

แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี่ ก็เคยโดน กิลเยม บาลาเก้ กูรูลูกหนังด้านตลาดซื้อขายชาวสเปนออกมาถามคำถามดังกล่าว ซึ่งเมสซี่ก็เคยตอบคำถามนี้เชิงย้อนๆว่า..

“ใครที่บอกว่าผมเล่นในอังกฤษไม่ได้ สงสัยไม่เคยรู้ว่าผมโตมากับการเล่นฟุตบอลที่อาร์เจนตินา สภาพสนามที่เลวร้ายในโรซาริโอ เต็มไปด้วยหลุมและบ่อ แถมอัดกันไม่ยั้งตั้งแต่อายุ 11 ปี” เมสซี่ว่าเช่นนั้น 

8

แม้ทุกคนจะรู้ว่า สโต๊คชุดนั้นไม่ได้เก่งมากมาย และนักเตะอย่าง เมสซี่ ก็คงไม่มีปัญหาในการรับมือกับความหนาวเหน็บที่สโต๊คอย่างที่วลีดังกล่าวบอก แต่แค่นี้มันก็บอกถึงความยอดเยี่ยมระดับตำนานของ พูลิส บอล และ สโต๊ค ได้เป็นอย่างดี 

“ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ลมพัดกระหน่ำ และหิมะตกหนัก กองหน้าทุกคนจะต้องเจอกับฝันร้าย พวกเขาจะต้องดิ้นรนเป็นอย่างมากหากจะเอาชัยชนะกลับบ้าน” นี่คือประโยคขยายต่อจากนั้นของ แอนดี้ เกรย์ ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่ใครว่าไว้อย่างแน่นอน

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ