เอกชัย ศรีวิชัย เล่านาทีเฉียดตาย หนีน้ำท่วม ถ้าหลับลึกสิ้นชื่อ
เรียกว่าผ่านนาทีเฉียดความตายมาแล้วสำหรับนักร้องดัง เอกชัย ศรีวิชัย ที่น้ำท่วมบ้านระหว่างนอนหลับ จนต้องมีชาวบ้านระแวงนั้นเข้าไปช่วยพาตัวออกมา เพราะไม่สามารถเปิดประตูบ้านออกมาได้
ข่าวสดบันเทิง มีโอกาสได้เจอนักร้องคนดัง จึงได้สอบถามถึงนาทีเฉียดตายหนีน้ำท่วมครั้งล่าสุด
เจ้าตัวเลยว่า “ถ้าหลับลึกกว่านี้ซัก 5 นาที วันนี้ก็คงไม่มีเอกชัย ศรีวิชัย อยู่ต่อแล้ว แล้วก็เป็นภาพที่น่าเกลียดมาก เพราะมันจะตายอยู่ในบ้านที่มีกระจกรอบด้าน แล้วก็ขี้โคลนเต็มไปหมดเลย มันตายไม่สวย
ปกติเวลาผมนอนจะปิดม่านหมด แต่วันนั้นเปิดม่านแล้วก็เอาสปอตไลต์เปิดส่องน้ำไว้ด้วย เหมือนกับเรารู้อะไรล่วงหน้า มันก็บอกไม่ถูก ตอนที่น้ำมันมา เราก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงมันดังมาก ตอนที่มันลงมาจากข้างบนเสียงดังปึ้งปั้ง ปึ้งปังแล้วผมก็ตื่นเห็นน้ำมา แล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ ตอนนั้นน้ำขึ้นแค่เข่าแล้ว
หลังจากที่หยิบโทรศัพท์เดินมาที่ประตู น้ำขึ้นมาถึงหน้าอกแล้ว มันเร็วมากและอยากบอกทุกคนว่าบ้านที่เป็นกระจก เวลาที่น้ำดันเข้ามามันเปิดไม่ออกเลื่อนก็ไม่ได้ ผมพยายามกระแทกตัวเองออกมาก็มีแต่ชุดนอนชุดเดียว”
เย็นวันนั้นก็เห็นสังเกตการขึ้นของน้ำอยู่? “ตอนเย็นก็มารอบหนึ่งแล้วขึ้นมานิดเดียวแล้วมันลง ก็เลยเปิดไฟรอไว้ แต่ฝนมันหนักมาก คือข้างบนเป็นน้ำตก ลงมาก็เป็นบ้านผม แล้วจากบ้านผมลงไปข้างล่างอีกข้างล่างเป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดวันที่ 15 ธันวาคม น้ำมาวันที่ 1-2 ทุกอย่างไม่เหลือเลย เหลือแต่ดิน”
บ้านเสียหายเยอะเหมือนกัน? “ตัวโครงสร้างไม่เสียหายอะไรเลย เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของน้ำ แต่ว่าของไปหมด ก็จะมีพวกเครื่องเสียง แอร์ เพราะว่าน้ำท่วมหลังคา ทุกอย่างพังหมดเลย ต้องทำใหม่หมด”
เสียหายไปเท่าไหร่พอประเมินเป็นมูลค่าได้ไหม? “เฉพาะนาฬิกาก็ 2 เรือนแล้ว Panerai กับ Rolex คือตอนนี้ก็ไม่รู้อยู่ไหน รถแล้วก็ปืน ซึ่งปืนตอนนี้หาเจอแล้ว แต่ว่ามันเสียหาย มันแช่อยู่ในโคลน 2 วันก็ต้องเอาไปล้าง”
เรียกว่าเป็นนาทีเฉียดตาย? “ตอนนี้ผมกลัวมากเรียกว่าพอเห็นน้ำแดงลงมาไม่ค่อยจะเข้าไปใกล้ๆ จริงๆ ตอนนั้นมีสติเพราะถ้าเกิดไม่มีสติก็คงต้องตีกระจกให้แตก แล้วตอนนั้นน้ำมันดันมากระจกต้องแทงหน้าอกแน่ๆ เลย เพราะว่าไม่ได้เป็นกระจกนิรภัยและเพิ่งรู้ว่าบ้านกระจกเวลาน้ำท่วมมันเปิดไม่ออก”
บ้านหลังนี้เพิ่งเข้าไปอยู่ด้วย? “เป็นบ้านของไพศาล ลูกบุญธรรมของผม แล้ววันนั้นไพศาลไม่อยู่ เขากลับบ้าน คือเขาอยากได้บ้าน เขาบอกป๊าผมจะปลูกตรงนี้ 1 ห้องนอน เหมือนพูลวิลล่า แต่ว่าบ้านผมยังสร้างไม่เสร็จก็เลยไปนอนกองกันอยู่ที่นั่น แต่วันนั้นไพศาลไม่อยู่สิงหาก็ไม่อยู่ ลูกหลานไม่อยู่สักคน ก็อยู่คนเดียว”
นึกถึงนาทีชีวิตตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไรบ้าง? “มันตกใจมากกว่า เราไม่คิดว่ามาเร็วขนาดนั้น จากพื้นแล้วก็ขึ้นไปยันหลังคา 2 เมตรกว่าเกือบ 3 เมตร ทุกอย่างเสียหายหมดเลย คิดดูขนาดตู้เย็นยังลอยไปติดฝ้าอยู่ข้างบนหลังคา
ชีวิตนี้ไม่เคยเจอขนาดนี้มาก่อน แต่มันเร็วนะ ขึ้นชั่วโมงเดียวมันก็ลง ตอนนี้ซ่อมเสร็จหมดทุกอย่างแล้วครับ บ้านก็ทำใหม่หมดเลย วันรุ่งขึ้นไพศาลก็มาหาแล้วก็ร้องไห้ ผมก็บอกว่ามึงไม่ต้องร้องไห้ ที่จริงถ้าเกิดมึงไม่อยู่กูตายแล้ว มันบอกว่ามันผิดมากเพราะมันไม่รู้ว่าน้ำจะมาวันไหน
หลังจากนั้นชาวบ้านก็มาหาที่บ้านเยอะมาก จนตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว คนมาจากทั่วสารทิศในภาคใต้ มาหาที่บ้าน เอาของมาให้ คนใต้เขาไม่รู้ว่าผมลงไปอยู่บ้านแล้ว เหมือนกับว่าแฟนคลับทุกคนก็ลงมาที่ใต้ คนพัทลุงคนสงขลา นราธิวาส เขาก็มากัน เขาเหมารถกันมา เอาของมาให้ ตอนนี้ชุดนอนผมมีเยอะมาก ผ้าโสร่งเต็มไปหมดเลยเต็มทุกวัน
จริงๆ ผมว่าเหตุการณ์แบบนี้สิ่งหนึ่งที่เราเห็นน้ำท่วมไม่ได้เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า เพราะว่าไม่มีซุงลอยลงมา หรือว่าเขาอาจจะตัดแล้วเลื่อยเสร็จเอาไปแล้ว (หัวเราะ) ล้อเล่น สิ่งที่เราเห็นคือความรักความสามัคคีของชาวบ้าน เขามาช่วยผมกันทุกคน ผมโอเคมากและแฮปปี้มาก
ตอนแรกท้อแล้ว ไม่อยากอยู่ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร ถ้าเกิดมันจะพังไปอีกก็พัง เขาบอกว่า 40 ปีมันจะมีมาครั้งหนึ่ง ถ้าอีกครั้งหนึ่งมันจะเกิดผมก็คงไม่รอหรอก ผมคงไปนอนกับรากมะม่วงแล้วตอนนั้น”