‘ชูวิทย์’ ฝากถึง ‘พี่เอ้’ อยากเปลี่ยนกทม. ต้องไม่ลงปชป. ชนะไม่รู้กี่สมัย กทม.เหมือนเดิม ชี้ลองเปลี่ยนพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้เสียก่อน คงง่ายกว่าเปลี่ยนกรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.64 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และอดีตผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โพสต์เฟซบุ๊กถึงการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ว่า
เลือกผู้ว่าที เปลี่ยนกรุงเทพที ในฐานะที่เคยเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.มา 2 ครั้ง ถึงไม่ชนะ แต่ได้ที่ 3 ทั้ง 2 ครั้ง พอใจในคะแนนที่ได้ 300,000 กว่า ที่คนกรุงเทพฯ ลงคะแนนให้ ยังขอบคุณผู้ที่กล้าเลือกผมจนถึงทุกวันนี้
ขณะนี้มีการเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หลังห่างหายไปนานหลายปี ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เก่งมากที่สามารถดึง ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) มาเป็นผู้สมัครในนามพรรคได้ ถึงแม้จะใช้นโยบายเปลี่ยนกรุงเทพฯ (อีกแล้ว) ไม่รู้ว่าทำไม ใครๆ ถึงอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ กันทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ การจราจรไม่ติดขัด ฝุ่นไม่มี น้ำไม่ท่วม ให้การศึกษาทั่วถึง ไม่มีสลัม ไม่มีขยะล้นเมือง
ท้ายสุดได้แค่เปลี่ยนผู้ว่าฯ ใหม่แทน และกรุงเทพฯ ยังมีสภาพหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ที่นึกติดใจนโยบายเปลี่ยนกรุงเทพฯ ของท่าน ดร.เอ้ เพราะหากคิดจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ จริง อย่างแรกเลยคือ ไม่ควรลงในนาม “พรรคประชาธิปัตย์” เพราะพรรคนี้ไม่เคยเปลี่ยนอะไรได้เลยสักอย่าง
ยิ่งช่วงนี้จะเห็นว่าเลือดไหลออก คนรุ่นใหม่ของพรรค “นิวเด็ม” เผ่นหนีกันหมด ส่วนคนรุ่นเก่าอย่างพี่นิพิฏฐ์ก็เซย์กู๊ดบาย ขอไปตายเอาดาบหน้า ทั้งที่เคยเป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ถึง 8 สมัย ยังไม่นับรวมสมาชิกคนอื่นๆ อีก
แต่เอาล่ะ เมื่อดร.อยากลองของ ก็ต้องเจอด้วยตัวเอง การเมืองมันเย้ายวนคนอยู่เสมอ เป็นอธิการบดีก็ดีอยู่แล้ว เจริญเติบโตสร้างประโยชน์ในการศึกษาได้มากมาย ไม่มีใครเขาติฉิน แต่พอก้าวเข้าการเมืองไม่เท่าไหร่ กลายเป็นพวกสร้างภาพไปเสียทันทีที่แคมเปญใหม่ออก
จึงคิดว่ายากที่จะเปลี่ยนกรุงเทพฯ เพราะหากเปลี่ยนได้จริง น่าจะเปลี่ยนพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้เสียก่อน คงทำได้ง่ายกว่าเปลี่ยนกรุงเทพฯ เป็นไหนๆ ผมว่าจะไม่พูดเรื่องการเมือง ก็เลี้ยวมาจนได้ ขออภัยหากไปล่วงเกิน เอาเป็นว่าในฐานะคนกรุงเทพฯ ก็อยากให้เปลี่ยนกรุงเทพฯ ได้จริงๆ อย่างสารพันนโยบายที่ออกมาในช่วงหาเสียง
ส่วนผมจะใช้สิทธิคนกรุงเทพฯ วิพากษ์วิจารณ์พอหอมปากหอมคอ คงไม่ผิดกติกา อาจไปนั่งคุยกับคุณสรยุทธสื่อดังก่อนเลือกตั้ง เพราะเป็นประชาชนคนกรุงเทพ 100 %
ที่ “ผู้ว่าหมูป่า” ท่านณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ออกข่าวว่าขอไม่ลงสมัคร จบชีวิตทำงานในราชการดีกว่า อันนี้คิดถูก ท่านคงเห็นอะไรมามาก และตัดใจได้ ขอให้ท่านเกษียณอย่างมีความสุข เป็นผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดคนเขาชื่นชม ยกเว้นกรุงเทพฯ ที่เป็นผู้ว่าฯ ต้องพร้อมโดนด่าอยู่เสมอ
คนกรุงเทพฯ เปลี่ยนใจง่าย ไปตามกระแสภาพที่มาเสนอ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ อาจหักปากกาเซียนพลิกโผโพลล์มานักต่อนักแล้ว พวกชอบหาเสียงสร้างภาพ รักเด็ก กอดคนแก่ ไปยืนชี้คลองเน่า หรือใส่รองเท้าบู๊ทลุยน้ำท่วม ถือที่วัดอากาศไปตรวจฝุ่น หรือยืนดูรถติด ยืนชี้ทางเดิน จะทำฟุตปาธให้คนพิการ คนแก่
แต่พอได้เป็นผู้ว่าฯ จริง กลับได้แต่เดินโชว์ตัว ยกมือไหว้ เปิดงาน ตัดริบบิ้นเป็นหลัก จะทำก็ติดงบประมาณไม่มี อำนาจไม่ถึง เพราะแค่ผู้ว่าฯ ไม่ใช่นายกฯ ที่ทำก็แค่ขอไปที ไม่ได้ดีจริงแบบที่หาเสียงไว้ เพราะไปก้าวก่ายหน่วยงานอื่นที่ไม่มีอำนาจสั่งการไม่ได้
ซ้ำบางทีกลับไปเพิ่มปัญหา ไม่ใช่ลดปัญหา แค่ปีสองปี ก็เห็นผลแล้วว่าเป็นยังไง ?
เอาแค่สายไฟ สายเคเบิ้ล ลงใต้ดินเสียก่อน อย่าให้เกะกะรกหูรกตา เป็นที่อับอายฝรั่งมังค่าที่เห็นเป็น “Unseen Bangkok” อย่างนายรัสเซล โครว์ ดาราหนังฮอลลีวู้ด ที่มองเป็นเรื่องแปลกประหลาดพิสดารจนเอาไปลงไอจีให้ได้ฮือฮา
แค่นี้ ผู้ว่ากทม. ก็หมดสิทธิ์แล้ว เพราะเสาไฟฟ้า เป็นอำนาจของผู้ว่าฯ การไฟฟ้าโน่น ส่วนที่รถติด ก็เป็นอำนาจของตำรวจจราจร ผู้ว่าฯ กทม. จะไปยุ่งได้ไง? ผู้การจราจรใหญ่กว่าอีก เพราะถนนเป็นของตำรวจ แต่ฟุตปาธเป็นของ กทม.
ครั้นจะจัดการระบบขนส่งสาธารณะ ก็ให้ดู บีทีเอส เสียก่อน ว่า กทม. ค้างหนี้อยู่เท่าไหร่? เขาทวงเช้าทวงเย็นอยู่ ทุกหน่วยงานก็หวงแหนอำนาจตัวเองเสียเหลือทน ตามสไตล์ไทยแลนด์ น่าปวดเศียรเวียนเกล้า
นโยบายเขียนได้ตามหลักสากล แต่เจอหลักกู กว่าจะรู้เรื่อง หมดวาระผู้ว่าฯ 4 ปีแล้ว
ดังนั้นกรุงเทพฯ ก็เป็นกรุงเทพฯ แบบนี้มานานแล้วครับ ยกเว้นเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ แล้วใครเขาจะให้พรรคอื่นมาทำดีในพื้นที่ทองคำอย่างกรุงเทพฯ?
เราเคยมีผู้ว่าฯ ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ติดต่อกันหลายคน แม้แต่ผู้ว่ากรุงเทพฯ ที่มาจากการเลือกตั้งล่าสุดที่บอกว่า หากไม่อยากรถติด ก็ให้ไปอยู่ที่จังหวัดอื่น หรือน้ำไม่ได้ท่วม แต่รอการระบายอยู่ ให้ไปอยู่บนภูเขาหนีน้ำท่วมไปพลางก่อน
นี่ก็ผู้ว่าฯ พรรคประชาธิปัตย์ แล้วเราเห็นอะไรเปลี่ยนบ้าง? ขนาดจะไปเปรียบความเจริญถึงเมืองโตเกียว ปักกิ่ง ลอนดอนไปโน่น อย่าถึงขนาดนั้นเลย ตอนนี้เอาแค่ชนะฮานอยเสียก่อนก็พอแล้ว
แล้วที่ไปคุยถึงขนาดบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของคนที่เป็นหลาน “ผู้คิดค้นสูตรระเบิดนิวเคลียร์” เลยเหมาว่าเป็นสายเลือดไทยคนแรกที่เป็นทายาท จะมาพัฒนากรุงเทพฯ พารอยยิ้มมาให้ เอากันไปถึงโน่นซะแล้ว
ผีไอน์สไตน์ถึงกับขนลุก ตื่นขึ้นมาถามว่า “มาจากไหนวะ?”
ตอนนี้ก็อย่าให้เกินงาม แค่ไหว้สวยๆ ขยันออกข่าว ออกนโยบาย ทำได้ไม่ได้ก็ระวังไว้หน่อย เพราะโซเชียลมันไว ไม่เหมือนแต่ก่อน จะเสียคนเหมือนผู้ว่าคนก่อนๆ เอาได้ นี่สาบานเลยนะครับว่า ไม่ได้ไปโจมตีใคร หากมาว่าผมบาปกรรมตายชัก เพราะผมพูดอย่างที่คนกรุงเทพฯ ส่วนมากคิด
ถ้าเป็นผมหาเสียง จะออกนโยบาย “ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรกรุงเทพฯ ขอให้เหมือนเดิม เพราะจะเลือกผม หรือเลือกใคร กรุงเทพฯ ก็ยังเหมือนเดิมครับ ไปเปลี่ยนนายกฯ ดีกว่าครับ”
กรุงเทพฯ คือประเทศไทย อยากเปลี่ยนอะไร หากไม่ถามนายกฯ คนนี้ อาจหลุดเก้าอี้ไม่รู้ตัว เชื่อผมเถอะ เรื่องรู้ใจคนกรุงเทพฯ ต้องชูวิทย์