ซีเอ็นเอ็น รายงานเรื่องราวชีวิตของ วิศมา ราธนายาเก สาวศรีลังกาที่เป็น แฟนละครโอชิน ซีรีส์ซึ่งโด่งดังมากทั่วเอเชียในยุค 1980 เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงชาวญี่ปุ่นที่ต่อสู้ชีวิตให้รอดพ้นจากความยากจนและได้เป็นเจ้าของร้านค้าซูเปอร์มาเก็ตที่มีสาขามากมาย
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้หญิงสาวเรียนภาษาญี่ปุ่นและฝันว่าสักวันหนึ่งจะไปอยู่ที่ญี่ปุ่น
หลังจากพ่อเสียชีวิต บัณฑิตวิทยาลัยโน้มน้าวแม่ของราธนายาเกว่าเธอจะหาเงินได้เพียงพอจากการทำงานในต่างประเทศในฐานะครูสอนภาษาอังกฤษและเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ
ครอบครัวจำนองบ้านและส่งลูกสาวคนโตไปอยู่ที่เมืองนาริตะในญี่ปุ่น ปี 2560 โดยใช้วีซ่านักศึกษาซึ่งขณะนั้น ราธนายาเกมีอายุ 29 ปี
แต่น่าเสียดายที่ สาวศรีลังกาไปไม่ถึงฝัน เธอเสียชีวิตในวันที่ 6 มี.ค. 2564 ขณะมีอายุได้ 33 ปี
การจากไปของเธอกลายเป็นข่าวพาดหัวในสื่อญี่ปุ่นและเกิดกระแสเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎระเบียบและการดูแลชาวต่างชาติที่ถูกควบคุมตัวในสถานควบคุมตัวคนเข้าเมืองซึ่งมีผู้ถูกควบคุมตัวเสียชีวิตแล้ว 27 ราย นับตั้งแต่ปี 2540
ไล่ตามความฝัน
วาโยมีและปูร์นิมา น้องสาว 2 คนได้ยินว่าพี่สาวเรียนภาษาและมีความสุขดี แต่ความจริงที่ไม่เคยรู้ คือ รัธนายาเกเลิกเรียนภาษาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2561 และถูกไล่ออกในเวลาต่อมา
เดือนเดียวกันนั้นเอง ราธนายาเกเริ่มทำงานในโรงงาน ก่อนที่จะยื่นเรื่องขอลี้ภัยในเดือน ก.ย. แต่คำขอได้รับการปฏิเสธ ทำให้เธอมีสถานะเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย
ด้านยาสุโนริ มัตซุย ผู้อำนวยการ START องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ถูกคุมตัวในญี่ปุ่น กล่าวว่าราธนายาเกแจ้งกับตำรวจจังหวัดชิซูโอกะในเดือน ส.ค. 2563 ว่าวีซ่าขาดและอยากจะไปสำนักงานผู้อพยพในนาโงยะ แต่ไม่มีเงิน
ตอนแรก หญิงสาวจะกลับศรีลังกา แต่เปลี่ยนใจเพราะแฟนเขียนจดหมายขู่ว่าจะตามล่าและถูกลงโทษ ถ้าเธอกลับบ้านซึ่งเธอเชื่อว่าอาจจะถูกแฟนฆ่า
สาวศรีลังกาถูกส่งตัวเข้าสถานควบคุมตัวคนเข้าเมืองและต่อมา สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาในญี่ปุ่นแจ้งครอบครัวว่าเธอเสียชีวิตเมื่อเดือน มี.ค. 2564
ครอบครัวขอให้เปิดเผยรายงานการเสียชีวิตพร้อมทั้งหลักฐานเป็นรูปภาพ แต่ไม่เป็นผล น้องสาว 2 คน จึงเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อสืบหาความจริงในเดือน พ.ค.
ร่างของพี่สาวในโลงไม่เหมือนพี่สาวที่น้องๆ เคยเห็นเพราะผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่ แทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเนื่องจากน้ำหนักลดลงไปถึง 20 กิโลกรัมในระหว่างที่ถูกคุมตัวในสถานควบคุมตัวคนเข้าเมืองนาน 7 เดือนซึ่งน้องๆ ต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ก่อนที่พี่จะเสียชีวิต แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธคำขอ
ระบบอำนาจเบ็ดเสร็จ
หลังจากน้องๆ และทีมกฎหมายพยายามอยู่ 3 เดือน ในที่สุด ก็ได้ดูภาพเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาและกลายเป็นประเด็นอภิปรายในรัฐสภาญี่ปุ่นเพราะ ส.ส. ต้องการให้ทบทวนร่างกฎหมายสำหรับกักตัวชาวต่างชาติ รวมทั้ง เนรเทศผู้ที่ไม่ได้สถานะผู้อพยพ
แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิ รวมทั้ง ผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติเห็นว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัดต่อมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล เช่น วรรคที่ว่าด้วยการเนรเทศซึ่งละเมิดหลักการไม่ส่งกลับไปยังประเทศที่ชาวต่างชาติกลัวถูกลงโทษ ทำให้ร่างกฎหมายตกไป
ส่วนซาเนเอะ ฟูจิตะ นักวิจัยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอสเซกซ์ กล่าวว่าปัญหาใหญ่อยู่ที่สำนักตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นเพราะมีอำนาจล้นเหลือโดยไม่มีศาลมาคานอำนาจ
ที่ผ่านมา องค์กรฮิวแมน ไรท์ส นาว เคยเรียกร้องให้ยกเลิกอำนาจเบ็ดเสร็จในสถานควบคุมตัวคนเข้าเมืองและปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ปฏิบัติกับผู้ถูกควบคุมตัวเยี่ยงสัตว์
เมื่อสำนักบริการตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบก็พบว่าสำนักตรวจคนเข้าเมืองนาโงยะไม่ได้ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายรัธนายาเกอย่างเหมาะสมส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงถูกตำหนิและรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม รวมทั้ง สำนักบริการตรวจคนเข้าเมืองขออภัยอย่างเป็นทางการต่อการเสียชีวิตของเธอ
ขณะที่น้องๆ ได้ดูภาพความเป็นอยู่ของพี่สาวในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายในสถานกักกัน แต่เป็นภาพที่ตัดต่อแล้ว
ภาพช่วงหนึ่งแสดงให้เห็นราธนายาเกตกเตียง ส่วนยามหัวเราะเมื่อเห็นเครื่องดื่มนมไหลออกจากรูจมูกเธอและสั่งให้เธอกลับไปขึ้นเตียง
น้องๆ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ต้องปกปิดความจริงและกดดันให้เปิดเผยคลิปทั้งหมดซึ่ง 2 สาวได้เห็นภาพแบบไม่ตัดต่อในเดือน ต.ค. และเห็นภาพแสนหดหู่ แม้ราธนายาเกกลืนอะไรไม่ลง แต่ยังถูกเจ้าหน้าที่บังคับให้รับประทานและก่อนเสียชีวิตเพียงวันเดียว สภาพเธอย่ำแย่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่โทรศัพท์เรียกรถพยาบาล
ไม่ยอมให้รับการรักษา
สำนักบริการคนเข้าเมืองพบว่ารัธนายาเกร้องเรียนหลายครั้งว่าปวดท้องและมีอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ก่อนที่จะเสียชีวิตหลายเดือน
ด้านมัตซุย ผู้อำนวยการ START ซึ่งเคยพบสาวศรีลังกาในสถานควบคุมกล่าวว่า เมื่อเดือน ม.ค. ตนเคยขอให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวเธอไปโรงพยาบาลหรือปล่อยตัวชั่วคราว แต่ถูกปฏิเสธทั้ง 2 คำร้องโดยไม่มีเหตุผลชี้แจง
ส่วนโยอิชิ คิโนชิตะ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกล่าวว่าเจ้าหน้าที่บางคนคิดว่ารัธนายาเกทำให้ดูเหมือนอาการหนักเพื่อจะได้ออกจากสถานควบคุมหรือถูกปล่อยตัวชั่วคราว
ยกเครื่องทั้งระบบ
คิโนชิตะกล่าวว่าสำนักตรวจคนเข้าเมืองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วีซ่าให้ชาวต่างชาติ การควบคุมตัว การเนรเทศและการปล่อยตัวชั่วคราว จึงจำเป็นต้องมีศาลเป็นฝ่ายที่ 3 มาให้มุมมองที่ต่างออกไป
การสิ้นสุดชีวิตของรัธนายาเกเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในสถานควบคุมตัวคนเข้าเมือง เช่น ยอมให้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นครั้งแรก มีการดูแลทางการแพทย์และอนุญาตให้ผู้ถูกคุมตัวที่มีอาการป่วยได้ปล่อยตัวชั่วคราว
วาโยมิกลับไปศรีลังกาด้วยความสะเทือนใจหลังจากดูภาพกล้องวงจรปิด แต่ปูร์นิมายังอยู่ในญี่ปุ่นเพื่อต่อสู้ต่อไปและอยากให้กรณีพี่สาวของเธอเป็นการสูญเสียครั้งสุดท้ายและไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
…………..
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
มหาเศรษฐีญี่ปุ่น ฟ้องยึดทรัพย์ลูกสาว 139ล้าน เหตุสมรสคนผิวดำ ถูกฟ้องกลับ