ตาวัย89 เส้นเลือดสมองแตก รพ.บอกเตียงเต็ม ถูกส่งหาเตียงไกล150กม. สุดท้ายสิ้นใจสลด

Home » ตาวัย89 เส้นเลือดสมองแตก รพ.บอกเตียงเต็ม ถูกส่งหาเตียงไกล150กม. สุดท้ายสิ้นใจสลด


ตาวัย89 เส้นเลือดสมองแตก รพ.บอกเตียงเต็ม ถูกส่งหาเตียงไกล150กม. สุดท้ายสิ้นใจสลด

ตาวัย89 เส้นเลือดสมองแตก เข้ารักษาที่ รพ.สิทธิ์บัตรทองแต่จนท.บอกเตียงเต็ม ถูกส่งหาเตียงไกลกว่า 150 กม. สุดท้ายสิ้นใจสลด

วันที่ 25 พย 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีคุณตาวัย 89 ปีเส้น เลือดสมองแตกล้มฝุบคาบ้านในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่โรงพยาบาลต้นสังกัดสิทธิ์บัตรทอง เตียงเต็ม ต้องไปรักษาตัวไกลถึงอำเภอฝาง ระยะทาง 156 กม. เดินทางกว่า 3 ชั่วโมงสุดท้ายเสียชีวิต ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลต้นสังกัดประสานโรงพยาบาลใกล้เคียง 5 แห่ง ทั้งใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน แต่ไม่มีเตียงว่าง

นางวราภรณ์ ญาติของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 พ.ย. นายสุทัศน์ อายุ 89 ปี เส้นเลือดในสมองแตก ในบ้าน ถ.เมืองสาตร บ้านเมืองสาตรหลวง ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ นั่งหมดสติพิงกำแพงอยู่ในบ้าน จึงปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด จากการตรวจพบมีสิทธิ์บัตรทองรักษาอีกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กัน แต่โรงพยาบาลดังกล่าวได้แจ้งว่าเตียงเต็ม เจ้าหน้าที่ได้ประสานหาเตียงรักษา โรงพยาบาลจอมทอง โรงพยาบาลสันป่าตอง โรงพยาบาลสันกำแพง โรงพยาบาลดอยสะเก็ด และโรงพยาบาล ในพื้นที่ จ.ลำพูน แต่ไม่เตียงว่าง

สุดท้ายประสานไปยังโรงพยาบาลฝาง ซึ่งระหว่างนั้นคุณตาต้องนอนรอการประสานหาเตียงโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษาได้อีกประมาณ 6 ชม. และต้องขับรถโรงพยาบาล จากโรงพยาบาลต้นสังกัด ไปโรงพยาบาลฝาง ระยะทาง 156 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. และถึงที่โรงพยาบาลในช่วงกลางดึก เวลาประมาณ 03.00 น. จากนั้นแพทย์ประเมินว่ามีอาการเลือดคั่งในสมองถึง 90% และนอนรักษาตัวโรงพยาบาลฝาง จนกระทั่งเสียชีวิตเวลา 16.45 น. ของวันที่ 23 พ.ย.

ทางญาติต้องฝากร่างของผู้เสียชีวิต ก่อนจะต้องเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปรับศพของคุณตาที่ โรงพยาบาลฝาง ในช่วงเช้าของวันที่ 24 พ.ย. ทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทาง การแจ้งตายในพื้นที่ จ.ฝาง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการนำร่างคุณตากลับมาบำเพ็ญกุศลศพที่บ้านในตัวเมืองเชียงใหม่พื้นที่อีกกว่า 7 พันบาท

ด้าน นางวรจิตร อายุ 61 ปี ญาติผู้เสียชีวิตอีกราย กล่าวว่า ภายหลังจากที่ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งมายังโรงพยาบาลในพื้นที่ อ.ฝาง แล้วนั้น ทางพยาบาลได้แจ้งกับตนว่าอาการของคนไข้ค่อนข้างวิกฤต และไม่สามารถรักษาได้ พร้อมกับบอกอีกว่าให้นำผู้ป่วยกลับบ้านจะดีกว่า แต่รถของโรงพยาบาลไม่มี และทางญาติผู้ป่วยต้องหารถมารับผู้ป่วยเอง ทำให้ตนต้องไปติดต่อรถโรงพยาบาลที่มาส่งก่อนหน้านี้ จากนั้นตนได้ประสานไปยังโรงพยาบาลที่มาส่ง

แต่ทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่า ตอนนี้รถที่ไปส่งผู้ป่วยได้เดินทางออกมาไหลแล้ว อีกทั้งแจ้งด้วยทางโรงพยาบาลไม่มีนโยบายกลับไปรับผู้ป่วย นอกจากทางแพทย์จะทำเรื่องส่งกลับเท่านั้น และเป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลที่นำส่งแล้วและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ทำให้ตนต้องแจ้งกับทางโรงพยาบาลให้ทำเรื่องแอดมิทที่โรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลก็แจ้งกับตนว่าสามารถรักษาได้ตามอาการเท่านั้นทำให้ต้องนอนดูอาการผู้ป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งผู้ป่วยมาเสียชีวิตในเวลาประมาณ 16.45 น. ในที่สุด

นางวรจิตร กล่าวต่อว่า ในส่วนของตนมองว่า หากผู้ป่วยได้รับการรักษาแบบทันท่วงทีอาจจะมีโอกาสรอด 50/50 เนื่องจากผู้ป่วยก็มีอายุมากแล้ว ประกอบกับมีอาการเลือดออกในสมอง ทำให้มีอาการค่อนข้างหนัก และหากได้รับการผ่าตัดก็มีโอกาสรอด 50/50 แต่จากที่ผู้ป่วยถูกนำส่งโรงพยาบาลพื้นที่ อ.ฝาง เท่ากับว่าไม่ได้รับการรักษาเลย เนื่องจากต้องเสียเวลาเดินทาง ได้เพียงใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น และจากผลเอกซเรย์ก็พบว่ามีเลือดออกในสมองเยอะมาก ทำให้ไปทับการสั่งงานของร่างกาย

ซึ่งในจุดนี้ตนไม่ได้ติดใจอาการของผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่ติดใจตรงที่ทำไมโรงพยาบาลต้องส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาถึงที่ อ.ฝาง ทำให้ญาติต้องลำบากทั้งการเดินทาง และเสียเวลาในการเดินทางไปรับศพ เนื่องจากญาติอยู่ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ แต่ต้องเดินทางไปรับศพถึง อ.ฝาง ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย

ทั้งๆ ที่หากผู้ป่วยถูกนำส่งที่โรงพยาบาลวนพื้นที่ตัวเมืองก็จะไม่ได้ยุ่งยากเช่นนี้ และก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ที่ผู้ป่วยในตัวเมืองถูกนำส่งไปรักษานอกเมือง ซึ่งตนก็มองว่าอาจจะเป็นเพราะผู้ป่วยที่มีจำนวนมากในตอนนี้ ซึ่งในส่วนนี้ตนก็ไม่อยากติดใจแต่อย่างใด และอยากให้กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีศึกษา หรืออุทาหรณ์ในการส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาของโรงพยาบาล เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นเช่นนี้อีก

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ