อองตวน เขินหนัก คนจิ้นคู่ ‘ม้าม่วง’ ทำหน้าที่ซีอีโอ เซฟ LGBTQ+
อองตวน เขินหนัก – เดินหน้าทำหน้าที่เป็น CEO แบรนด์กาแฟของตนเองอย่างเต็มตัว สำหรับนักแสดงหนุ่ม อองตวน ปินโต ที่ได้ดึงอินฟลูเอ็นเซอร์ดาวรุ่งทางเฟซบุ๊กและTik Tok อย่าง ม้าม่วง และรอเรน มาร่วมงานไลฟ์สดเชียร์ขายของ แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อพาร์ตเนอร์ตัวแทนจำหน่ายวิจารณ์บอส ทำไมเลือกเพศที่ 3 มา แทนที่จะเลือกผู้หญิงสวยๆ
งานนี้ อองตวน ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดบันเทิงออนไลน์ว่า “จากที่ผมโพสต์เป็นหนึ่งคนที่เอาผลิตภัณฑ์เราไปขายแล้วเขาก็ส่งข้อความที่ผมได้โพสต์ไป เราก็เลยรู้สึกว่าไม่โอเคเท่าไหร่ เราเห็นข้อความแล้วรู้สึกว่าทุกคนทำงาน แล้วมันกระทบความรู้สึกเราด้วย ความรู้สึกเราไม่เห็นด้วยกับข้อความแบบนี้
ความคิดแบบนี้ เราก็เลยเลือกที่จะโพสต์ไปว่าใครก็แล้วแต่ที่จะเข้ามาทำงานในบริษัท หรือว่ามีความคิดอยากจะมาเป็นพาร์ตเนอร์ แล้วมีความคิดที่แตกต่างกับเรา เราอาจจะไม่เหมาะที่จะทำงานด้วยกัน”
เหตุผลที่เลือกม้าม่วง และรอเรนมาร่วมงาน? “ก่อนหน้านี้ทีมงานมาร์เก็ตติ้งที่บริษัทเคโอแอลมา 10-20 คน ซึ่งมันมีเยอะมากในประเทศไทยทั้ง สนุก เก่ง ผู้ติดตามเยอะ เราก็ไล่ดูทุกคนเลยว่ามีใครบ้าง แล้วพอดีตอนนั้นเจอของคุณม้าม่วง
แล้วพอดีเราเปิดแล้วเคยเห็นเขาในติ๊กต็อก เราติดตามเขาอยู่แล้ว ละเห็นเขาไลฟ์พอดีเลยเข้าไปแซวเล่น ไปคอมเมนต์ในคลิปที่มันเป็นไวรัล เลยรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก เขาเล่นและสนุกกับไลฟ์เวลาคนดูเขาก็จะเล่นกับคนดูด้วย เราก็รู้สึกว่าคนนี้เก่ง คนนี้น่ารัก”
ก่อนหน้านี้เราคิดไหมว่าจะมีดราม่าเกิดขึ้น?
“ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นดราม่านะ ผมก็มองว่ามันเป็นความคิดของใครบางคนซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่ามันผิดนะ คนเรามันก็มีสิทธิ์ที่จะคิดต่าง ทุกคนไม่จำเป็นต้องคิดแบบเรา ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีมุมมองเดียวกับเรา ถือว่าเราเคารพในความคิดของเขา
แต่ในความคิดของเรา เรามองว่าแบบนี้มันไม่โอเค มันไม่ได้ตรงกับสิ่งที่ตัวเราคิด หรือโปรดักต์บริษัทของเราจะไปในทิศทางไหน มันไม่ตรง เรามองว่าไม่น่าจะโอเค
ถามเราว่ามันจะเป็นดราม่า มันจะเป็นประเด็นมั้ย ไม่ครับ เราไม่คิด มันเป็นเรื่องปกติ เรื่องทั่วไปเลย เราจะไลฟ์คู่กับใครก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องคิดว่าเขาเป็นเพศอะไร เขาชอบแบบไหน เขาแต่งตัวยังไง หน้าตายังไง ชาติอะไร ไม่เกี่ยวครับ เราไม่คิดว่าจะต้องเป็นประเด็น เขาเป็นคนดี ทำมาหากิน เราก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องแค่นี้มันจะต้องเป็นประเด็น”
รู้สึกโกรธแทนไหม? “ใช่ครับ พูดตรงๆ ว่ารู้สึกโกรธ ตอนแรกทีมงานยังไม่ส่งมา เขาก็เหมือนจะรู้ว่าถ้าเราเห็นเราน่าจะโกรธ ตอนแรกยังไม่ส่งมา เพราะเราเพิ่งทำงานเสร็จ เพราะเราไลฟ์ด้วยกันพอดี เราก็มารับรู้อีกทีตอนเช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ไปถ่ายละคร บอกตรงๆ โกรธครับ เพราะเรารู้สึกว่าเราเห็นความตั้งใจ ความพยายามของคนทุกคนเวลาเขาทำงาน เขาตั้งใจกันมาก
แล้วก็ความที่พูดว่าทำไมถึงเอาคนนี้มา แล้วทำไมไม่เอาผู้หญิงสวยๆ มา เราเลยรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการวัดคุณค่าด้วยหน้าตาเฉยๆ และเป็นการเหยียดว่าทำไมต้องเอาแบบนี้แล้วไม่เอาแบบนี้ เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกเลย มนุษย์เรามันเท่าเทียมกันหมดทุกคน เขาจะเป็นเพศไหน เขาจะหน้าตาดีในนิยามของใครบางคน หรืออาจจะหน้าตาไม่ดีของนิยามใครบางคน ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีคุณค่า
สำหรับเรามองว่าทุกคนมีคุณค่าเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะไลฟ์กับใครเรามองว่ามีคุณค่าแล้วคุณไม่ควรจะดูถูก เพราะคุณไม่เข้าใจมันไม่ผิด เราเข้าใจได้ แต่ว่าการเหยียดเรารู้สึกว่ามันไม่ถูก ถ้าไม่เข้าใจถามได้ ไม่เป็นไร เราอธิบายได้
จริงๆ ในบริษัทพาร์ตเนอร์ทุกคนจะรับรู้อยู่แล้วว่าจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง เราจะมีการไลฟ์กับใคร มีการตลาดอย่างไร ทุกคนรับรู้หมด เพียงแต่ว่าไม่ถามไม่คุย แล้วสุดท้ายอาจจะพูดด้วยอารมณ์หรือด้วยสิ่งที่เราไม่รู้เขาคิดน้อยไป แล้วก็พิมพ์ออกไป ก็เป็นสิ่งที่มันกระทบกับความรู้สึกของเรา บ่งบอกถึงทัศนคติที่เรามองว่าแบบนี้ไม่โอเคสำหรับเราครับ”
มีคำเมนต์อื่นๆ ที่เข้ามาในเชิงแบบนี้เยอะไหม? “จริงๆ ไม่ครับ ถามว่ามันมีมั้ย คนที่ไม่เข้าใจในยุคนี้มันก็ยังคงมี แล้วเราก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้หรอก เราก็ยอมรับว่าบางคนเขาก็คิดต่าง บางคนเขาก็เห็นต่าง เรามองดี ไม่ดี ไม่เหมือนกัน เราเข้าใจ
ถามว่ามันมีมั้ย มันก็มีแต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่ามันมีแล้วอยู่นอกบ้านไม่เป็นไร แต่ในบ้านเราเลือกได้ว่าเราจะให้ใครเข้าบ้าน ในบ้านเราขอไม่ให้มีแบบนี้ดีกว่า ในบ้านขอเป็นพื้นที่ที่เราเป็นครอบครัว มีความคิดที่ไปในทิศทางเดียวกันที่มองโลกในแบบเดียวกัน ถ้ามีคนมองโลกแบบนี้ แล้วไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ผมมองว่าไม่โอเคครับ”
ม้าม่วงกับรอเรนน้อยใจไหม พอมีข่าวนี้เกิดขึ้น? “ผมไม่แน่ใจครับ ผมก็ยังไม่ได้คุยกับเขา แต่ว่าผมเชื่อว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องอยู่ในแสงสว่าง มีผู้คนที่รู้จักเรามากมาย มันก็จะมีทั้งคนที่ชอบ คนที่ไม่ชอบ เรื่องนี้เราเข้าใจเป็นอย่างดี
ซึ่งเชื่อว่าความคิดแบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องใหม่เพียงแต่ว่าให้มันเป็นเรื่องเก่าไปได้ละ มันไม่ควรเป็นเรื่องใหม่ละ ผมรู้สึกว่ามันไม่โอเค ตัวผมเองถามว่าผมมีผลกระทบมั้ย ผมไม่ได้มีผลกระทบ แต่มันมีผลกระทบทางจิตใจที่เรารู้สึกว่าแบบนี้เราไม่โอเคเลยนะ แล้วคนอื่นล่ะจะรู้สึกแย่ขนาดไหน
ต้องบอกว่าบางคนในสังคมนี้โอเคโชคดีมีคนยอมรับ กล้าเปิดเผย แต่ในขณะเดียวกัน มีบางคนที่อาจจะยังไม่กล้า หรือมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต แล้วการที่ไปมีคอมเมนต์ที่ไปยิ่งตอกย้ำ ยิ่งเหยียด ยิ่งทำให้ไม่มั่นใจมากขึ้นมันจะยิ่งแย่ มันจะยิ่งทำให้สังคมเรามีปัญหามากขึ้น เราเลยรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง เราไม่เห็นด้วย”
เวลาเราทำงานกับเขา รู้สึกยังไงบ้าง? “รู้สึกสนุกครับ เขา 2 คนน่ารักมาก ตั้งใจทำงาน พูดตรงๆ ว่าเขาทำงานไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีคนที่รัก มีแฟนคลับนับล้านคนทั่วประเทศ คือรู้เลยเขาน่ารักจริงๆ ด้วยความที่เราทำงานกับเขาด้วย เราเห็นความตั้งใจของเขาในการทำงาน เหนื่อยแค่ไหนเพื่อคนทำ สู้ชีวิตเพื่อคนดู เพื่อแฟนคลับของเขา มีลูกค้าเข้ามาเขาก็พยายามเชียร์ขาย
รู้สึกว่าเขาเก่งเหลือเกิน เราถึงยิ่งรู้สึกเวลาเราเห็นคนดูถูก คนเหยียดว่าเราไม่ได้รู้จักเขาเลย คุณไม่ได้รู้เลยว่าเขาตั้งใจขนาดไหน ที่บ้านเขามีปัญหายังไง หรือชีวิตเขาเป็นยังไง เขาขยัน เขาสู้ชีวิตขนาดไหน แต่คำจำกัดความเนี่ยไปเหยียดเขา ไปดูถูกเขาผมรู้สึกว่าไม่ดีเลย”
ชีวิตจริงเขาเป็นคนตลก เฮฮา? “น่ารัก เขาก็เป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าคนเราจะอยู่หน้าสื่อหรือหน้ากล้อง ถ้าเราจะสร้างอะไรบางอย่างที่มันเฟกไม่ใช่ตัวเรา ผมว่ามันอยู่ได้ไม่นาน แต่สิ่งที่เราเห็นคือเราเห็นความตั้งใจของเขา เราเห็นความสนุกของเขา
พอเราได้เข้าไปดูในไลฟ์ทุกวัน ได้เข้าไปดูชีวิตพวกเขามากขึ้นเราจะเห็นว่าเขาไม่ได้สนุกทุกวัน บางวันเศร้าเขาก็มี แต่เขาก็กล้าเปิดเผยว่าวันนี้ฉันเศร้านะ แต่เราอยู่ด้วยกัน เราสู้ไปด้วยกัน เขาสร้างความสัมพันธ์กับคนดูที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าเราก็มนุษย์เหมือนกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกันแล้วเราสู้ไปด้วยกัน”
คนที่ไดเร็กต์มาเขาเป็นคนในบริษัทหรือเกรียนคีย์บอร์ด? “ไม่ใช่ครับ เขาไม่ใช่เป็นคนในบริษัทโดยตรง แต่เป็นคนที่เข้ามาในส่วนของพาร์ตเนอร์ที่จะมาเป็นตัวแทนต่างจังหวัดที่มาเอาของไปขายอีกทีหนึ่ง (ถึงว่าทำไมเรียกบอส?) ใช่ครับเขาก็จะเรียกบอสกัน อย่างที่บอกเรามาเป็นผู้บริหาร ไม่ว่าจะตัวแทน พาร์ตเนอร์หรือใครก็จะเป็นคำเรียกติดปาก รู้สึกว่ามันมีคำเข้ามาเรื่อยๆ ปีที่แล้วเรายังเป็นโค้ช เป็นบอส ปีหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร”
ตอนไลฟ์มีคนแซวว่าหวานมดขึ้น ชอบคู่นี้ เรามีความรู้สึกอย่างไรบ้าง? “รู้สึกว่ามันน่ารักครับ แล้วมันก็ยิ่งตอกย้ำว่าโลกเราเริ่มขยับละ โลกเราไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดหน้าตา ไม่จำกัดอะไรก็แล้ว แต่ความรักมันก็คือความรัก ความน่ารักมันก็คือความน่ารัก อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวเราที่ทำให้เรายิ้มได้ ทำให้เรามีความสุขเรามองว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดี คนดูมีความสุข เราเองอยู่ในนั้นเรามีความสุขด้วย แค่นั้นเราก็โอเคแล้ว”
บทบาทการเป็นซีอีโอ ตอนนี้ทำงานหนักหน่วงกว่าเดิม? “ดีครับ เรามาเต็มตัวแล้วนะ แบรนด์กาแฟตัวเต็มเป็นแบรนด์ที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ตอนนี้ต้องบอกว่าแบรนด์เติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เราคาดคิดด้วยซ้ำ เริ่มมีพาร์ตเนอร์เยอะขึ้น อยู่ตามห้าง ตามแพลตฟอร์มต่างๆ ต้องดูแลคนมากมายหลายชีวิตที่เราต้องรับผิดชอบ ก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เราสนุก ที่เรารู้สึกว่ามันก็เปลี่ยนบทบาท
ในขณะเดียวกัน เราก็มีทีมที่เก่ง เพราะตัวเราคนเดียว เราคงไม่สามารถทำอะไรได้เลย เครดิตต้องยกให้ทีมงานของตัวเอง ทีมงานเก่งมาก ทีมงานขยันตั้งใจกันทุกคนถึงบอกว่าพอเวลามีใครคนหนึ่งที่พูดจาไม่ดีหรือว่าต้องมีผลกระทบเสียกำลังใจ มันกระทบทั้งหมดเลย ถามว่าบทบาทการเป็นซีอีโอมันยากมั้ย คือเราต้องจัดการเวลา เราถ่ายละครด้วย ทำงานด้วย ก็พยายามบาลานซ์เวลาให้มันมากที่สุด”
หลังจากมีโควิดดาราหลายคนตกงาน รวมถึงมวยก็ไม่ให้เปิดกิจการ มันทำให้เราลุยงานตรงนี้เพิ่มขึ้น? “ใช่ครับ ต้องยอมรับว่าโควิดมา ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ เลย ไม่ต่างจากคนอื่นเลยครับ ผมเชื่อว่าคนในวงการบันเทิงทุกคนก็ตกงาน ไม่มีงาน ไม่พอ ธุรกิจต่างๆ ที่เราได้ทำมันขาดทุนไปเรื่อยๆ แล้วเรายื้อ เราพยายามที่จะเก็บเอาไว้เพื่อเลี้ยงคนที่อยู่ในบริษัทต่างๆ ที่เราทำไว้ แล้วมันทำให้สุดท้ายมันไม่ไหว ทุกอย่างมันกลายเป็นเข้าเนื้อ เงินเก็บที่เราเคยเก็บสะสมมาหลายปีก็กลายเป็นหมดตัวไม่มีอะไรเลย
สุดท้ายเราก็มีโอกาสทำสิ่งนี้ขึ้นมา รู้สึกว่านอกจากจะช่วยตัวเราแล้ว เรายังได้ช่วยคนอื่นๆ ด้วย จากคนอื่นๆ ที่เคยตกงาน ก็กลับได้มามีงานอีกครั้งครับ พูดตรงๆ ว่าตั้งใจมาก และรู้สึกดีใจที่มันเติบโตได้ไวขนาดนี้ คือเราคิดไว้แล้วว่าเราอยากทำผลิตภัณฑ์ที่มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มันใกล้ตัวเรา เพราะเรากินกาแฟอยู่แล้ว แล้วเราเป็นคนที่ดูแลสุขภาพ เราอยากให้คนอื่นเขาได้ดูแลสุขภาพแบบเรา แล้วพอวันที่โปรดักต์มันได้เริ่มออกมาแล้ว คนเขาชอบ ก็รู้สึกว่ามันดีจังที่คนอื่นเขามีมุมมองเดียวกับเรา”
เรามีมุมมองอย่างไร เมื่อร้านกาแฟเต็มบ้านเต็มเมือง แถมมีหลายแบรนด์ที่ผลิตแข่งกัน? “ใช่ครับ คู่แข่งตลาดมันเยอะ แต่เราไม่ได้ไปมองตรงนั้นครับ คือเราโฟกัสว่าเราอยากทำสิ่งที่ดีที่สุดมาให้กับกลุ่มคนที่เชื่อเรา และอยากจะดูแลสุขภาพจริงๆ
เขาได้ลองกินแล้วผมพูดตรงนี้ได้เลยว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ได้ซื้อ ได้ลอง เขากลับมาซื้อซ้ำ คือเรื่องสุขภาพร่างกายมันเป็นของหลายคน บางคนเขารู้สึกว่าเขากินของหวานเยอะ แล้วน้ำหนักโอเวอร์ เราก็รู้สึกว่านี่แหละเราได้ทำผลิตภัณฑ์ที่มันตรงกับเรา เพราะเราเป็นคนกินกาแฟ
คือเราวางแผนมาเกือบ 2 ปี ทำการเทสต์ทุกอย่าง ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะทำให้เรารวยไปเลย แต่เราคิดแค่ว่าพ่อกับแม่เรายังต้องดูแล ถ้าเรามีรายได้ส่วนเล็กๆ ที่เรายังสามารถซัพพอร์ตพ่อกับแม่ได้ทุกเดือนโดยที่เราไม่ได้เดือดร้อนแค่นี้เราแฮปปี้แล้ว”
งานบันเทิงยังรับอยู่? “งานเข้ามาเรื่อยๆ ครับ งานไหนมาผมก็ว่างเสมอครับ เราก็จัดการเวลาถ่ายละคร 2 เรื่องด้วย แล้วก็มีงานต่างๆ นานา”
โควิดซาแล้ว จะทิ้งมวยไหม? “อย่างที่ผมได้ให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ธุรกิจยิมมวย ต้องบอกว่าไม่ไหว เราต้องยอมถอยครับ คือธุรกิจที่เราทำมาเป็น 10 ปีครับ สุดท้ายเราเจอโควิดแล้วโดนหนักถึงขั้นที่ว่าไม่ได้เข้าเนื้อเฉยๆ ครับ เข้าเลือดเนื้อไปเลย เลือดไหล จนต้องยอม ต้องปล่อยก่อนครับ
เราก็รู้สึกว่าแฮปปี้กับการทำธุรกิจตรงนี้มาสักระยะหนึ่ง อาจจะไม่ใช่จังหวะของมัน ถ้าเกิดมีโอกาสก็อาจจะลองดู ถึงโควิดจะหายตอนนี้แต่ก็ยังไม่ทำธุรกิจมวย อาจจะต้องรอดูอย่างอื่น เพราะว่าจะมีโปรเจ็กต์อื่นเกี่ยวกับมวยอยู่ แต่ไม่ใช่ยิม ต้องรอดูครับ”
ทุกวันนี้ยังซ้อมมวย? “แน่นอนครับ ยังอยู่ มวยยังอยู่ในหัวใจครับ ผมเกิดเพราะมวย แล้วถ้าตายเพราะมวยด้วย เราไม่มีวันนี้อยู่แล้ว ก็เปลี่ยนจากเดิมคนละรูปแบบครับ ที่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่แล้วให้ประโยชน์มากกว่าแทน ต้องรอติดตามดู”