เมื่อกระแส Live Audio Chat อย่าง Clubhouse เริ่มซาลง และกำลังมีคู่แข่งมากมาย ทั้ง Twitter Spaces รวมไปถึงแอปฯ โซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งอย่าง Facebook ที่มีรายงานว่ากำลังเร่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้บริการ Live Audio Chat ให้ทันกระแสเหมือนเจ้าอื่น ๆ คราวนี้ก็มาถึงตาของแอปพลิเคชันสตรีมมิงเจ้าดังอย่าง Spotify ที่กำลังเตรียมตัวลงแข่งขันในสนามนี้ด้วยเช่นกัน
มีรายงานว่า Spotify กำลังดำเนินการเข้าซื้อกิจการบริษัท Betty Labs บริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับทำพอดแคสต์ และสนทนาแบบเสียงสดหรือพูดคุยกันแบบเรียลไทม์สำหรับแฟน ๆ วงการกีฬา ที่ชื่อว่า ‘Locker Room’ เพื่อเริ่มต้นโปรเจกต์การพัฒนาแอปพลิเคชันสนทนาผ่านเสียงของ Spotify และเริ่มต้นการเป็นคู่แข่งของ Clubhouse โดยทางบริษัทไม่มีการออกมาเปิดเผยถึงจำนวนเงินสำหรับการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้
Spotify กล่าวว่า พวกเขาจะเปลี่ยน Locker Room ให้เป็นการสร้างประสบการณ์การสนทนาผ่านเสียงที่ดีขึ้น โดยการเพิ่มขอบเขตของคอนเทนต์ให้กว้างกว่าเดิม สำหรับครีเอเตอร์และแฟน ๆ โดยจะไม่ได้เน้นเพียงประเด็นการสนทนาในเรื่องที่เกี่ยวกับวงการกีฬาเท่านั้น แต่จะเพิ่มประเด็นในเรื่องของดนตรี และวัฒนธรรม
“เราจะเปิดโอกาสให้นักกีฬามืออาชีพ นักเขียน นักดนตรี นักแต่งเพลง นักจัดพอดแคสต์และเสียงต่าง ๆ ระดับโลก ในการเป็นเจ้าภาพการอภิปรายแบบเรียลไทม์ หรือเป็นผู้จัดรายการถ่ายทอดเสียงสด ในรายการถาม-ตอบอะไรก็ได้ (AMA) รวมไปถึงบทสนทนาในประเด็นอื่น ๆ อีกมากมาย” Spotify กล่าว และไม่ใช่เพียงเหล่าครีเอเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถเป็นโฮสต์ได้ แต่ทุกคนที่ใช้แอปฯ นี้จะสามารถเป็นโฮสต์ในการเปิดห้องสนทนาของตัวเองใน Locker Room ได้เช่นกัน
กุสตาฟ โซเดอร์สตรอม (Gustav Söderström) หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Spotify ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง The Verge สื่อออนไลน์ด้านเทคโนโลยีระดับโลก เกี่ยวกับการพัฒนาโปรเจกต์ดังกล่าวว่า ในอนาคตทางบริษัทจะทำการทดสอบฟีเจอร์ที่สามารถสร้างรายได้ เช่น การเป็นโฮสต์สำหรับห้องสนทนาแบบต้องเสียเงิน นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ Spotify จะเพิ่มฟีเจอร์แปลงการสนทนาให้เป็นพอดแคสต์ โดยจะมีระบบเชื่อมต่อกับ Spotify ทำให้ผู้จัดห้องสนทนาสามารถกดอัดเสียงในห้องสนทนาและอัพโหลดไฟล์เสียงบทสนทนาที่จบลงแล้ว ลงใน Spotify ได้ทันที
อย่างไรก็ตาม Locker Room จะยังคงอยู่ใน App Store ในขณะที่ Spotify กำลังรีแบรนด์และปรับปรุงแอปฯ ก่อนที่จะเปิดใช้งานในชื่อใหม่ โดยจะให้บริการทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า