กรณีดราม่าไม่จบไม่สิ้น เอ๋-มิรา ชลวิรัลวานิศร์ ถูกอดีตสามี ครูไพบูลย์ แสงเดือน ฟ้องหมิ่นประมาท เรียกเงิน 1 ล้านบาท เหตุเคยมาออกโหนกระแส พูดจาพาดพิง ฝั่ง เอ๋ ฟ้องกลับข้อหาพรากผู้เยาว์ แบ่งสินสมรส 20 ล้าน เรื่องนี้จะไปจบลงที่ตรงไหน
รายการโหนกระแสวันที่ 6 ต.ค. 64 หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 ได้สัมภาษณ์ เอ๋ มิรา ที่มาพร้อม ทนายเก่ง นฤบดินทรา ศรีศิวารา ทนายความฝั่งเอ๋
วันนี้ดูสีหน้าแววตา ไม่เหมือนครั้งก่อน ดูซึมเศร้า หมองเศร้า?
เอ๋ : “เครียดเรื่องฟ้องค่ะ นอนไม่หลับเลยค่ะ เขาฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน หมายศาลมาถึงแล้วค่ะ เขาบอกว่าเราไปหมิ่นประมาทแฟนใหม่เขา คือกระต่าย พรรณนิภา และมีวิดีโอที่หนูมารายการโหนกระแส ฟ้องจากเรื่องหนูมารายการโหนกระแส หนูเลยส่งให้ อ.ประจักษ์ชัย ดู อาจารย์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะดูแลให้”
ช่วงเช้ามีข่าวว่าครูไพบูลย์จะฟ้องผมด้วย ผมเองไม่ได้มีปัญหาถ้าครูไพบูลย์จะฟ้อง เป็นสิทธิ์ของครูไพบูลย์ ถ้าไปฟ้องก็ต้องไปรักษาสิทธิ์ ต้องมีการขึ้นศาล ถ้าสุดท้ายออกมาแล้วไม่เป็นอย่างที่ครูไพบูลย์กล่าวอ้าง ผมก็จำเป็นต้องรักษาสิทธิ์ด้วยเหมือนกัน แต่จริงๆ อยู่วงการเดียวกัน เรื่องฟ้องกลับก็ต้องไปพิจารณา เพราะเราเจอกันอยู่แล้ว วันนั้นเราต่อสายหาครูไพบูลย์ ผมว่าเราก็ไม่ได้ไปหมิ่นอะไรแก ก็ไม่รู้จะฟ้องตรงไหน ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ถ้าจะฟ้องก็ไม่ได้ว่าอะไร เรื่องเดียวกันในวันเดียวกัน ในมุมเอ๋จะยังไงต่อไป?
ทนายเก่ง : “ที่ถูกฟ้องมาจะต่อสู้คดี เพราะการมารายการ เป็นการให้ข้อมูลตามจริง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาที่ผ่านมา เขาให้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีเจตนาใส่ความ เป็นการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง มีการให้การในรายการ ตามที่พี่หนุ่มได้สอบถาม ซึ่งทั้งหมดก็มีส่วนข้อกฎหมายที่เป็นข้อยกเว้น ก็ได้เตรียมตัวเตรียมพร้อมเรื่องพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อต่อสู้คดีในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องที่จังหวัดเลย”
วันนั้นที่ฟังเข้ามั้ย?
ทนายเก่ง : “เข้าข้อยกเว้นทางกฎหมายครับ มันมีบทบัญญัติเรื่องกฎหมาย มาตรา 329 ที่ได้บัญญัติไว้ในลักษณะของการให้การ หรือการกล่าวในลักษณะที่มีการเหมือนพาดพิงบุคคลอื่น แต่การกล่าวนั้นเป็นการกล่าวเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อความเป็นธรรมของตัวเอง กฎหมายก็บัญญัติเอาไว้ ก็เป็นแนวทางในการต่อสู้กันไป”
เอ๋ได้คุยกับครูบ้างมั้ย?
เอ๋ : “ล่าสุดบอกเขาว่าจะเอาลูกมานอนด้วย เขาเลยถามว่าต่อไปจะทำอะไรอีก ก็ถามว่าจะทำอะไร เขาบอกจะจบมั้ย หนูเลยบอกว่าหนูจบเพราะหนูพูดในสิ่งที่ถูกกล่าวหาไปแล้ว เขาบอกว่าทำไมสามปีที่แล้วไม่พูด หนูบอกว่าหนูพูด ทำไมจะไม่พูด เขาบอกว่าแล้วจะให้ทำอะไร หนูก็เลยบอกว่าถ้ารู้ว่าตัวเองผิดทำไมไม่ขอโทษ และไม่บอกว่าหนูไม่ได้มีชู้ เขาบอกถ้าอยากให้ขอโทษทำไมไม่บอก จะได้จบๆ ก็ถามว่าไม่มีจิตใต้สำนึกคิดเองเลยเหรอ ที่จะโพสต์ขอโทษเรา ถ้าหนูบอกหนูคงไม่ได้รู้สึกดีหรอกค่ะ แล้วก็ทะเลาะกัน อันนี้ก่อนมีหมายศาลมาค่ะ”
หลังมีหมายศาลมา ได้คุยกันมั้ย?
เอ๋ : “ไม่ค่ะ”
ทำไมเราไม่เจรจาหรือไกล่เกลี่ยกันจะได้จบกันในบ้าน ในมุมพี่ไม่รู้อะไรเกิดขึ้นในครอบครัว คุณถูกกล่าวหาว่ามีคนอื่นเลยต้องเลิก อาจมีการพาดพิงอดีตสามีและภรรยาใหม่เขาด้วย คุณเองฝากไว้สักวันจะโดนแบบพี่ ไปคุยกันไกล่เกลี่ยกันไม่ได้เลยเหรอ?
เอ๋ : “มีเพื่อนแคปข้อความที่เขาตอบแชตว่าผมรอเขามาเคลียร์ทุกวัน หนูเลยรู้สึกว่าหนูผิดเหรอคะ จะให้หนูไปเคลียร์ คุณเป็นคนผิดก็มาเคลียร์กับเราสิคะ หนูก็ต้องปกป้องตัวเองแล้วค่ะ ก็ปรึกษาพี่ทนาย คุยเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้พี่ทนายฟัง เลยได้ข้อมูลว่าจะฟ้องค่ะ
มุมเอ๋คิดว่าไม่จำเป็นต้องคุย เพราะเราไม่ได้เป็นคนผิด?
เอ๋ : “ใช่ค่ะ”
เขาฟ้อง 1 ล้าน ไม่คุยเลยเหรอ?
เอ๋ : “ถ้าหนูพูดก็เหมือนหนูไปขอร้องให้เขาให้อภัย ทั้งที่หนูไม่ได้ผิด ถ้าถามว่าไม่คิดถึงลูกเหรอ ต้องให้เขาเป็นคนคิดค่ะ ไม่ใช่ให้หนูไปถามว่าฟ้องหนูทำไม ไม่คิดถึงลูกเหรอ หนูคิดว่าถ้าเขาคิดจะฟ้องหนูแล้วคงไม่ได้คิดถึงลูก”
อ.ประจักษ์ชัยว่ายังไงบ้าง?
เอ๋ : “อาจารย์บอกว่าก็ดูไปตามรายละเอียดว่าเป็นยังไง ก็ให้สิทธิ์เอ๋ว่าจะยังไง แต่อาจารย์ดูแล้วเอ๋ไม่ได้ผิด เอ๋พูดในสิ่งที่เจอมา ตอนนี้อาจารย์เป็นผู้จัดการ ถ้าอาจารย์ไม่ช่วยเอ๋ ใครจะช่วย”
เคยคุยกับทางประจักษ์ชัย เคยโทรคุยกัน แกบอกว่าครูไพบูลย์เป็นคนดี มีงานมีการก็คุยกันตลอด ช่วยเหลือกันตลอด ทำไมตอนนี้อ.ประจักษ์ชัยกับอ.ไพบูลย์เหมือนมีปัญหากัน มันเกิดจากอะไร เกิดขึ้นจากเอ๋หรือเปล่า?
เอ๋ : “หนูก็รู้สึกผิดนะคะ หนูเข้ามาทำให้อาจารย์มีปัญหาหรือเปล่า แต่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ไม่ได้อยู่ฝั่งใคร ไม่ได้ทะเลาะกับไพบูลย์ด้วย”
รู้ใช่มั้ยเขารักกันมาก่อน อ.ประจักษ์ชัยพูดกับครูไพบูลย์ดีมาก จนมาเห็นข่าวล่าสุดว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
เอ๋ : “ตอนอาจารย์เอาหนูมาปั้น อาจารย์ก็พูดตลอดว่าอาจารย์ไม่ได้ทะเลาะกับไพบูลย์ แต่มาพูดเพราะเห็นว่าไม่ได้มีการมีงานทำ อยากช่วยให้มีเงิน แต่ฝั่งครูไพบูลย์มีการโพสต์แซะโพสต์ว่ามีผู้ใหญ่คอยยุยงให้หนูทำแบบนี้ อ.ประจักษ์ชัยเลยรู้สึกว่าทำไมเขาโพสต์แบบนั้น ส่วนตัวหนูไม่ได้รู้สึกว่ามีใครมายุยง ซึ่งการโพสต์แบบนั้น คุณไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่เลย พูดว่า อ.ประจักษ์ชัยเป็นคนอื่น ทำไมต้องมายุ่ง ก็อยากบอกว่าตอนนี้หนูอยู่ในความดูแลของอ.ประจักษ์ชัย ถ้าเขาไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยหนู”
เป็นไปได้มั้ย สิ่งที่เอ๋เคยออกมาพูด ทำให้ทัวร์ไปลงเขาเยอะ ล่าสุดยังไม่มีข่าวเขาจะฟ้องผม ผมให้ทีมงานติดต่อเชิญแกมาออก แกก็ไม่มา ไม่ได้อยากออกมาชี้แจง พอฝั่งเอ๋พูดฝ่ายเดียวมันก็เป็นประเด็น เพราะคนฟังเอ๋พูดมุมเดียว เรื่องนี้ทนายหนักใจมั้ย?
ทนายเก่ง : “ด้วยพยานหลักฐาน มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เขาไม่ได้ปั้นแต่งขึ้น ไปใส่ความหรือสร้างข้อเท็จจริง ยุคนี้เป็นยุคโลกออนไลน์ มันมีข้อมูลเก็บย้อนหลังได้ มันมีรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง แล้วลักษณะคดีดังกล่าว มันมีบัญญัติกฎหมายที่ได้แจ้งไว้แต่ทีแรก มันสามารถต่อสู้คดีในประเด็นนี้ได้ ก็เลยไม่ได้มีความหนักใจในประเด็นนี้เท่าไหร่”
พอครูไพบูลย์ฟ้อง ฝั่งนี้ก็ฟ้องเหมือนกัน คดีอะไร?
ทนายเก่ง : “คดีอาญา เป็นการแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวนในท้องที่ ที่ความผิดเกิด ในความผิดฐานกระทำชำเราน้องเอ๋ พรากผู้เยาว์ คือพรากน้องเอ๋ ไปแจ้งแล้วเมื่อวานนี้ ฟ้องเองเรื่องสินสมรส ประเด็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่อยู่ด้วยกัน รายได้จากยูทูปก็ดี รายได้จากการออกงานก็ดี”
ตอนนี้เอ๋อายุเท่าไหร่?
เอ๋ : “24 ค่ะ ตอนคบหาเขาอายุ 15-16 ค่ะ”
9 ปีมาแล้ว ทำไมไม่ฟ้องตั้งแต่ตอนนั้น?
เอ๋ : “ตอนนั้นหนูคิดว่าเขาเป็นพ่อของลูก อยู่กินด้วยกันมานานแล้ว แม่ก็มีสัญญาไว้”
ทำไมเมื่อก่อนไม่ฟ้อง?
เอ๋ : “แม่คิดว่าอยู่กินกันแล้วเขาจะดูแลเรา แต่พอเขาผิดสัญญา ไม่มาชดใช้ตามสัญญา แล้วมาทิ้งหนูอีก”
อายุความกี่ปี?
ทนายเก่ง : “10 ปีครับ”
ที่เขาฟ้องหมิ่นประมาท 1 ล้าน ถือว่าติดคุกได้มั้ย?
ทนายเก่ง : “ในข้อที่เขาฟ้องมาเป็นคดีอาญา ถ้าเป็นความผิดก็มีโอกาสติดคุกครับ”
ถ้าแพ้แล้วติดคุก ทำไง?
ทนายเก่ง : “จริงๆ เหตุผลหนึ่งหลายคนสงสัย ทำไมเราถึงเพิ่งมาดำเนินคดี ผมรู้จักน้องเอ๋ เนื่องจากรู้จัก อ.ประจักษ์ชัย เข้ามารู้จักในเชิงการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์กันและมีการคุยกันเรื่องข้อกฎหมาย ผมก็ปรึกษาอาจารย์ ว่าถ้าเราฟ้อง ก็ฟ้องได้นะ ฟ้องตามที่เราได้แจ้งเรื่องพรากผู้เยาว์ การกระทำความผิด การกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี แต่ได้คำตอบจาก อ.ประจักษ์ชัย จากเอ๋เองว่าไม่อยากฟ้อง ไม่อยากมีคดี แต่สุดท้ายเราถูกฟ้อง เลยต้องมีเหตุนี้”
พอเขาฟ้องเรามา เราก็ฟ้องอีกเรื่อง มันเป็นการแก้เกี้ยวหรือเปล่า?
ทนายเก่ง : “เป็นการใช้สิทธิ์ทางศาล มันเป็นสิทธิ์ที่เราใช้สิทธิ์ได้ เชื่อว่าเป็นคดีตัวอย่างที่หลายคนจับตามอง”
ไม่ยืดเยื้อเหรอ ไม่ไปคุยหลังบ้าน ขอโทษกันไป คนวงการเดียวกัน ไม่ฟ้องกันด้วยซ้ำ?
ทนายเก่ง : “ครับ นี่เป็นเหตุนึงที่ อ.ประจักษ์ชัย ออกมาเต็มรูปแบบ เพราะเราคิดว่าไม่น่ามีการฟ้อง โดยเฉพาะเอ๋ ซึ่งทำมาหากินมาด้วยกัน ก่อสร้างค่ายเพลงด้วยกัน”
เรื่องเอ๋ไปฟ้อง “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” บอกว่าดูแล้วมันยังไม่เข้า ขอถามความคิดเห็นนิดนึง ที่ทนายบอกว่าดูแล้วไม่น่าจะเข้า มองยังไงเรื่องพรากผู้เยาว์ พรากเอ๋นะ ไม่ใช่พรากกระต่าย?
ทนายเจมส์ : “กรณีพรากผู้เยาว์ ถ้ากรณีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี แม้จะยินยอมไปด้วยก็ตามก็เป็นความผิด อันนี้หลักกฎหมายเป๊ะๆ ประเด็นอยู่ที่ว่าพ่อแม่เขายินยอมด้วยหรือไม่ สอง ผู้ที่พรากผู้เยาว์ มีเจตนาพรากเอาไปคบหากัน เอาไปเป็นเมีย กรณีนี้มันมองดูว่าขาดเจตนาในการพรากผู้เยาว์ ก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาคำฎีกาอยู่สองฉบับ เอามาเทียบได้ ฉบับที่หนึ่ง เป็นกรณีของพ่อแม่อนุญาตให้ผู้เยาว์ไปกับผู้อื่น ตรงนี้คบหากันเป็นแฟนกัน เอาไปเป็นเมีย แบบนี้ฎีกาบอกว่าไม่ผิด เนื่องจากขาดเจตนา กับอีกอย่างหนึ่งไปลักษณะเดียวกันเด๊ะๆ แต่ผู้ชายมีครอบครัวอยู่แล้ว กรณีนี้ศาลมองว่าคุณไม่มีเจตนาพาเขาไปอยู่ด้วย คุณมีลูกมีเมีย แบบนี้เจตนาพาไปพรากผู้เยาว์ อันนี้คือผิด ผมไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าพ่อแม่ยินยอมหรือไม่ สองตอนพามา เขามีเจตนาพาผู้เยาว์ไปเพื่ออยู่กินกันหรือไม่ ไม่รู้ข้อเท็จจริง”
ตอนนั้นพ่อแม่เรายินยอมมั้ย?
เอ๋ : “ไม่ได้ยินยอมค่ะ พ่อแม่ไม่ได้รับรู้ว่าเราเกินเลยกันหรือคบกัน พอพ่อแม่รับรู้ก็บินมาจากต่างประเทศมาเลย และให้มาเซ็นสัญญา ที่อ.ประจักษ์ชัยได้โพสต์ไปค่ะ”
ครั้งนั้น ตอนเราอายุ 14-15 ตอนนั้นบอกแม่มั้ย?
เอ๋ : “ไม่รู้ค่ะ”
แม่ไม่อนุญาต พิสูจน์ได้มั้ย?
เอ๋ : “พิสูจน์ได้ค่ะ แม่ได้ลงในสัญญาแล้ว ว่าแม่ไม่ได้รับรู้ว่ามีอะไรกันมาก่อน พอแม่รับรู้ว่าหนูเสียหายแล้ว ก็ให้เขามาพูดคุยกัน และให้เขามาเซ็นสัญญา ชดใช้ค่าเสียหาย และมาสู่ขอใน 3 เดือน คือ 1 แสนบาท ถ้าเลยสัญญานี้ไป ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็น 2 แสน และดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเขาก็ไม่ได้มาชดใช้ และไม่ได้มาสู่ขอตามสัญญาที่เขียนไว้ค่ะ”
เขาบอกทางโน้นไม่ได้จ่าย และไม่ได้สู่ขอ เข้ามั้ย?
ทนายเจมส์ : “กรณีนี้เท่ากับพ่อแม่ไม่ยินยอม ไม่รู้เห็นด้วย เหมือนไปแอบมีอะไรกัน พอพ่อแม่รู้ ก็มาดำเนินการที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ประเด็นนี้น่าสนใจอย่างหนึ่ง หลังจากเขาไม่จ่ายเงิน ทำไมไม่ดำเนินคดี คำถามต่อมา จะกลายเป็นข้อต่อสู้อีกฝั่งหรือไม่ ว่าถ้าเขาไม่ฟ้องคุณในข้อหาหมิ่นประมาท คุณก็ไม่ดำเนินคดีเขาใช่มั้ย เรื่องระยะเวลา และเรื่องการไปแจ้งความ”
ที่พูดกับทนายเจมส์เพื่อให้มีสองมุมมอง จะได้เป็นธรรมกับเขาด้วย เอ๋จะตอบยังไง ทำไมทิ้งเวลา เพิ่งมาฟ้อง เพราะเขามาฟ้องเราหรือเปล่า?
เอ๋ : “หนูขอแม่ไว้ค่ะ ตอนนั้นไพบูลย์ยังไม่มีตังค์ แต่พอเริ่มมีตังค์เขาก็ไม่มาขอสักที หนูก็ไม่รู้จะยังไง แม่ก็สงสารหนู ก็คิดว่าเขาคงเลี้ยงดูหนู พอมีตังค์ มีเงินแล้ว ค่อยมาให้แม่ก็ได้ แต่พอเริ่มมีเงินเขาก็มาทิ้งเราแบบนี้ แม่เลยรู้สึกว่าจะทำยังไงได้ นอกจากไปบอกให้เขามาชดใช้ จะดำเนินคดีได้มั้ย แม่พูดคุยกับหนูมาตลอด หนูก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร จนมาพูดคุยกับอ.ประจักษ์ชัย และทนาย”
ทนายเจมส์ : “ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเขากระทำความผิดต่อกฎหมาย ต่อเขาเอง ต่อพ่อแม่ และเป็นอาญาแผ่นดิน สามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายได้ ไม่ว่ากัน แต่อีกฝ่ายมีสิทธิ์ต่อสู้ได้เช่นเดียวกัน มองดูมันก็ก้ำกึ่ง กรณีพ่อแม่ตอนแรกเรามองว่าพ่อแม่ไม่ยอม เลยไปทำบันทึกที่ผู้ใหญ่บ้าน แต่พอเขาผิดสัญญาก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย อาจมองดูว่าเป็นการยินยอมโดยปริยายหรือไม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความคิดเห็นของผมซึ่งเป็นทนายความ ถ้าเป็นคดีความไปแล้ว ต้องอยู่ที่ศาลเป็นผู้วินิจฉัย”
เราคุยกันสองมุมมอง คือทางโน้นไม่ได้มาด้วย เราก็ลำบากใจ เรื่องนี้เป็นอย่างทนายเจมส์พูดมั้ย?
ทนายเก่ง : “ที่ทนายเจมส์พูดเราก็มีแนวทางที่ตรงกัน ซึ่งเราเป็นนักกฎหมาย เมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น ตัวแม่เขาเป็นผู้เสียหายด้วย และเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ก็ต้องไปว่ากันในกระบวนการ เมื่อวานไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนรับเรื่องนี้แล้ว มีการสอบปากคำพยาน เป็นคดีแรกที่ดำเนินการ”
ได้จดทะเบียนกับครูเมื่อไหร่?
เอ๋ : “จดเมื่อเดือน มิ.ย.ปี 61 จดได้ 3 เดือนก็หย่า ตอนนั้นน่าจะอายุ 19-20”
มันผ่านกระบวนการไปแล้วหรือเปล่า เหมือนเขาจดทะเบียนรับผิดชอบไปแล้วหรือเปล่า?
ทนายเก่ง : “จริงๆ ประเด็นนี้พนักงานสอบสวนก็ได้วิเคราะห์เหมือนกัน ประเด็นนี้ก็สอบให้เห็นว่าการจดทะเบียนสมรสของเขาเป็นประเด็นที่ต้องไปว่ากันในศาล จริงๆ ทางเราสอบประเด็นนี้เพิ่มอยู่แล้ว”
สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าเรื่องนี้ถ้าครูดูอยู่ ผมว่าเบาได้ก็เบา ลองไปคุยกันหลังบ้าน อย่าลืมว่าสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดคือลูก การโตขึ้นไป แล้วลูกไปนั่งรับรู้ว่าพ่อฟ้องแม่ แม่ฟ้องพ่อ มันเจ็บปวด คุยกันได้ก็คุย คิดว่าจะมีการพูดคุยกันมั้ย?
เอ๋ : “ฝั่งเขาดีกว่าค่ะ”
ห่วงความรู้สึกลูกมั้ย?
เอ๋ : “ห่วงมากๆ ค่ะ ลูกก็ถามทุกวัน (ร้องไห้) ตอนนี้ลูกก็คงนั่งดูอยู่ หนูบอกเขาว่าหนูมาทำงาน”
จะทำยังไงได้มั้ย มีโอกาสพูดคุยกันสองฝ่าย ผมไม่รู้ครูไพบูลย์แกแรงขนาดไหน ผมว่าครูไพบูลย์อาจต้องแยก กรณี เอ๋ มิรา เขามาพูดในมุมเขา ที่เขาเจ็บช้ำน้ำใจในมุมนั้น เราก็ต้องแมนๆ ยอมรับในมุมนั้นด้วย แต่เข้าใจ ครูไพบูลย์กับภรรยาปัจจุบันทัวร์ลงเยอะ อาจกดดันว่าที่เขาทัวร์ลงเพราะต้นตอมาจากฝั่งนี้ เขาอาจต้องมาแก้ตรงนี้ เลยไม่ได้คิดไปอีกมุมว่าหัวจิตหัวใจลูกล่ะ ยังไงนี่ก็แม่ หัวใจของลูกเหมือนถูกขยี้ ผมว่าวันนี้ไปคุยกันดีกว่า ไม่อยากให้กลายเป็นเครื่องมือของอารมณ์ มันเสียกันไปหมด มันคุยกันได้ มันยังไม่สาย แต่ถ้าขึ้นสู่กระบวนการจะไปกันใหญ่ ทนายได้แนะนำบ้างมั้ย?
ทนายเก่ง : “ทางเราก็คุยกัน อย่างที่พี่หนุ่มบอก อยู่ในวงการเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสได้เจอกัน เราอยากให้ออกมาในทิศทางที่ดี ถ้าต่างฝ่ายยังต้องใช้สิทธิ์ทางศาล เราก็จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ทางศาลจนกว่าจะสิ้นกระบวนการ แต่ถ้าตกลงกันได้ มันสามารถยุติได้ ไม่ให้เรื่องนี้ไปจนสุดทางได้”
วันนี้ต้องมีคนถอยสักก้าว อาจฝั่งเรา หรือฝั่งเขา ผมแนะนำครูไพบูลย์ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อยากให้นึกถึงหัวจิตหัวใจลูก สุดท้ายเอ๋อยากบอกอะไรครูไพบูลย์?
เอ๋ : “ไม่มีอะไรจะบอกค่ะ เพราะตลอดมาเขาก็รับรู้ หนูไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำตั้งแต่แรก คุณไม่ควรนอกใจเรา ไม่ควรใส่ร้ายเรา คุณเห็นลูกมั้ย ถ้าวันนี้คุณไม่นอกใจเรา ครอบครัวเราก็คงสุขสันต์ มีความสุขเหมือนคนอื่น แต่วันนี้นอกจากครอบครัวพังแล้ว พ่อแม่ก็จะมาฟ้องกัน คุณไม่สงสารลูกเหรอ (ร้องไห้) หนูอยากฝากคลิปนี้ไว้ ถ้าลูกโตขึ้น อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่ แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ (ร้องไห้) แม่ขอโทษที่รักษาครอบครัวไว้ไม่ได้ (ร้องไห้) ถ้าโตขึ้น แม่คิดว่าลูกคงไม่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้แบบนี้นะลูก (ร้องไห้)”