บิว-ณัฏฐา ทองแก้ว Miss Face of Humanity Thailand 2021 เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนบริจาคเงิน และอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ว่าจเป็นหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เครื่องวัดอุณหภูมิ และเจลแอลกอฮอล์ แก่กลุ่มชาติพันธุ์มานิ ที่อาศัยอยู่ใน จ.สตูล ตรัง และพัทลุง และผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ 7 แห่งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ
นางงามรายนี้ ยังเรียกร้องไปยังสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง สตูล และตรีง รวมถึงหน่วยงานรัฐส่วนกลาง คือ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ว่าอย่าทอดทิ้งคนกลุ่มนี้ เพราะโรคโควิด-19 ไม่ได้เลือกว่าจะแพร่กระจายไปยังคนกลุ่มใด แม้ว่าพี่น้องชาวมานิบางส่วนยังไม่ได้รับสัญชาติก็ตาม
ผู้สนใจสามารถจัดส่งได้ที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย 139/21 ซอยลาดพร้าว 5 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
สามารถสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ด้วยการบริจาคที่บัญชีสมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เลขที่ 047-2426-175 ธนาคารไทยพาณิชย์
ทุกคนต้องได้วัคซีน จึงจะปลอดภัย
นางสาวปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า จากการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของกลุ่มเปราะบางในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์มานิมีความหวาดระแวงและหวาดกลัว เพราะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโรคโควิดคืออะไร ทั้งยังขาดข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เนื่องจากอ่านหรือเขียนภาษาไทยไม่ได้ และหน่วยงานภาครัฐยังเข้าไปดูแลไม่ทั่วถึง ทั้งเรื่องการให้การรักษาพยาบาลและการฉีดวัคซีน รวมทั้งไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวจากโรคระบาดและมาตรการชดเชยเยียวยาเนื่องจากเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ตกหล่นในการรับสัญชาติไทย บางส่วนยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน
ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ฯ กล่าวต่อไปว่า ผู้ต้องขังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แออัด มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงอุปกรณ์และเครื่องมือด้านสุขภาพต่างๆ เกิดการแพร่ระบาดในเรือนจำอย่างกว้างขวาง ประกอบกับการเข้าไม่ถึงวัคซีนที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อในเรือนจำกว่า 68,000 คน และมีผู้ต้องขังเสียชีวิตแล้วเกือบ 150 คน
“ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ระบุไว้ว่า ‘Nobody is safe until everyone is safe จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย’ และเป้าหมายของรัฐบาลไทยคือทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนตามความสมัครใจนั้น แอมเนสตี้ได้เรียกร้องทางการไทยมาโดยตลอดว่าต้องดำเนินมาตรการที่ให้บุคคลทุกคนเข้าถึงวัคซีนอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติและเร่งด่วน โดยแผนการจัดสรรวัคซีนควรดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงหลักการด้านสุขภาพและความจำเป็นในการป้องกันการควบคุมโรคติดต่อ พร้อมกับรับรองสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขโดยถ้วนหน้า การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สัญชาติ หรือสถานะทางสังคมจากการให้บริการดังกล่าวไม่อาจยอมรับได้เพราะยิ่งส่งผลให้การแพร่ระบาดทวีความรุนเเรงยิ่งขึ้น”
เมื่อไม่นานมานี้ แอมเนสตี้เปิดรายงานใหม่และแคมเปญ “นับถอยหลัง 100 วัน” #100DayCountdown เรียกร้องจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศยากจน 2,000 ล้านโดสก่อนสิ้นปีนี้ รวมถึง ประเทศไทย โดยเรียกร้องให้ 6 บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 และประเทศต่าง ๆ ส่งมอบวัคซีนจำนวน 2 พันล้านโดสให้กับประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางระดับต่ำก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อจะได้ไม่มีใครต้องทนทุกข์ทรมาน และอยู่กับความหวาดกลัวต่อไปอีกหนึ่งปี
“ในระหว่างที่การจัดสรรวัคซีนยังไม่ทั่วถึง เราขอเชิญชวนร่วมแบ่งปันหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เครื่องวัดอุณหภูมิ และเจลแอลกอฮอล์ หรือสมทบทุนร่วมจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวให้กับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ “มานิ” จำนวน 12 กลุ่ม กว่า 500 คนในจังหวัดสตูล ตรังและพัทลุง และเรือนจำ 7 แห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ได้แก่ 1. เรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ 2. เรือนจำกลางจังหวัดกาฬสินธุ์ 3. ทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร 4. เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5. ทัณฑสถานหญิงธนบุรี 6. เรือนจำจังหวัดธัญบุรี 7. เรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาส”