ในการจัดรายการ Care Talk x Care ClubHouse เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2564 ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม (Tony Woodsome) อดีตนายกรัฐมนตรีร่วมรายการเพื่ออภิปรายในประเด็น ROADMAP to New Normal : วางเส้นทางสู่วิถีใหม่ โดยมีผู้ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลาออกจากตำแหน่ง และเซ็ตซีโร่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทักษิณ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เห็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพิ่งพูดว่า ท่านเป็นทหารจะไม่ละทิ้งประชาชน ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าประชาชนจะละทิ้งท่านหรืือไม่
“มันเดายากครับว่าใจท่านจะเอายังไง โดยกฎหมายท่านมีสิทธิอยู่ต่อ แต่ผมพูดจริงๆ นะ มือในสภาไม่สำคัญเท่าศรัทธาของประชาชน ฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านอยากอยู่ต่อท่านต้องสร้างศรัทธากับประชาชน ท่านอย่าคิดว่าท่านมีกฎหมาย ท่านอย่าคิดว่าท่านมี ส.ส. ในสภาเพียงพอ อย่าไปคิดว่ามีกล้วย มีอะไรต่ออะไร อย่าไปคิดอย่างนั้น คิดอย่างเดียวว่าจะเรียกศรัทธาจากประชาชนอย่างไร ศรัทธาแรกเรียกได้เชื่อผมเถอะอย่าไปอาย อย่าไปคิดว่าผมแนะนำแล้วไม่อยากทำ ใส่ PPE ลงไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ แล้วก็ไปที่ศูนย์บางซื่อที่คนไปรอฉีดวัคซีน ไปตรงนี้ก่อน รับรองว่าศรัทธาจะฟื้นขึ้นมา 15% เชื่อผม ถือว่าเชื่อพี่ก็แล้วกันน้องเอ้ย… อย่าไปคิดว่าเสียฟอร์มเลย ลับหลังเราคุยกันมากว่านี้ได้ ท่านอย่าเวิร์กฟรอมโฮม แต่งพีพีอีลงไปเลย”
“ท่านลงไป 2 ที่นะ วันนี้ออเต็มแน่นไปหมด ไม่ต้องไปกลัว ใส่พีพีอี ใส่หน้ากาก N95 เฟซชิลด์ หมอหนู (อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขจะวิ่งตามเลย”
สอน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯมีอำนาจรวมศูนย์ ถ้าแก้ไม่ได้ลาออกไป
โทนี่ยังระบุด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ลาออก แต่ถ้าท่านทำตามที่ตนเสนอไว้จะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ แต่ตนไม่คิดว่าพล.อ.ประยุทธ์จะทำ เพราะพล.อ.ประยุทธ์จะคิดว่าเดี๋ยวจะเสียเชิง
“แต่เรื่องละทิ้งหน้าที่ไม่ใช่ แต่วันนี้ต้องเข้าใจว่าเราต้องการแก้ไขปัญหามากกว่าอย่างอื่น เพราะว่าการเป็นนายกฯ อำนาจรวมศูนย์แล้ว ถ้ายังแก้ไม่ได้ มันก็ไม่ควรอยู่ ถ้าอยากอยู่ก็ทำตามที่ผมบอกไว้ ผมไม่ได้วางกับดักอะไรเลย ผมอยากช่วยคนไทย ไม่ได้อยากช่วยคุณประยุทธ์”
เชื่อไม่มีนายกฯ พระราชทาน ระบุพระเจ้าอยู่หัวอยู่เหนือการเมือง
ต่อมา พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ได้ตั้งคำถามว่า ในช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องนายกพระราชทาน และนายกคนนอก ทักษิณมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร ทักษิณระบุว่า
“ที่บอกว่านายกฯ พระราชทาน ผมไม่เชื่อ เพราะพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงอยู่เหนือการเมือง ท่านคงไม่มาเล่นการเมืองกับพวกเราแน่นอน อันนี้ผมคิดว่านายกพระราชทานไม่น่าจะมี”
ทักษิณ กล่าวต่อว่า แต่ยังมีกลไกของรัฐธรรมนูญกรณีที่นายกฯ ลาออก จะต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ในสภา โดยตั้งขึ้นจากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อไว้กับ กกต. ตอนเลือกตั้ง ซึ่งเวลานี้จะเหลือในพรรคเพื่อไทยคือ ชัยเกษม นิติสิริ พรรคประชาธิปัตย์คือ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ซึ่งลาออกจากพรรคไปแล้ว และอีกคนคือ อนุทิน ชาญวีรกุล ซึ่งการโหวตเลือกนายกคนใหม่จะมี ส.ว. ร่วมโหวตด้วย ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกกันอย่างไร แต่หากโหวตไม่ได้ ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะไม่ได้ตามกฎหมายปัจจุบันมากนัก
เชื้อโรคไม่ปราบ ขยันแต่ปราบม็อบ
พิชญ์ ถามต่อว่า จากประสบการณ์ในการเป็นตำรวจ และเรียนปริญาเอกด้านความยุติธรรม ทักษิณมองอย่างไรกับกรณีที่ตำรวจปราบปรามผู้ชุมนุมโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ทักษิณระบุว่า ช่วงเวลาวันเสาร์ อาทิตย์ ควรเป็นช่วงเวลาที่มาคิดเรื่องวัคซีน แต่กลับเอาเวลามาปราบม็อบอย่างเดียว ระบบราชการมันเป็นอะไรกันไปหมด เชื้อโรคที่มันอันตรายมากไม่ยอมปราบ วัคซีนก็ยังฉีดได้ไม่ตามเป้า แต่เวลามีม็อบมาชุมนุมกลับขยันออกมาปราบ
“วัคซีนเพิ่งฉีดได้ 90,000 จาก 3 แสน แต่พอมาปราบม็อบนี้ขยันมาก งบประมาณมีหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำสี ไม่ว่าจะเป็นกระสุนยาง แล้วถามว่าจริงๆ เรียกมานั่งคุยสิ เด็กๆ เนี่ยเขาต้องการอนาคต ถ้าเขาเข้าใจอะไรผิดก็มาคุยกับเขาสิ
ถามเลยว่านี่น้องเอ้ย เป็นไงว่ะมาเดินขบวนกันหลายรอบแล้ว โดนแล้วโดนอีกยังไม่ยอมเข็ดอีก น้องมีอะไรว่ะมาคุยกัน
เขาก็จะบอกว่า ทุกวันนี้พี่บริหารกันอย่างนี้ สภาเป็นอย่างนี้มี ส.ว. เป็นฝักถั่วยกมือมันทำให้ผมไม่มีอนาคต มาช่วยกันคิดได้ไหมว่าทำอย่างไรผมถือจะมีอนาคต เพราะว่าอีกไม่กี่วันพวกพี่ก็ลงโลงแล้ว พวกผมยังอยู่ มันคุยกันได้ ทำไมต้องไปแจกกระสุนยาง”
รัฐประหารปี 49 ยอมจบเพราะคิดว่าจะทำให้ประเทศเดินหน้า ไม่คิดว่าจะทำอะไรโง่ๆ
ต่อมามีผู้ถามว่า อีกไม่นานก็จะครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แล้ว อยากให้ทักษิณ เล่าถึงวินาทีที่ถูกรัฐประหารให้ฟังว่าเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทักษิณ ระบุว่า ตนอยู่ที่ นิวยอร์ก เวลานั้นนั่งกินข้าวกับลูกของโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งสามคน โดยหลังจากทั้งสามคนกลับไปก็ทราบข่าวการรัฐประหาร
“แต่ก่อนหน้านั้นตอน 4 ทุ่มที่นิวยอร์ก ตรงกับ10โมงของไทย ตอนนั้นผมมีประชุม ครม. ผมก็ตั้งถามกับ เสธ.ทบ. ผมจำชื่อไม่ได้ ปรากฎว่าเขาตอบกวนๆ ผมก็เอ๊ะ ไม่ค่อยจะดี ก็เลยสั่งให้ ดร.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ ขณะนั้น กับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ขณะนั้นไปเอาร่างคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินของผมออกมา ผมเซ็นทิ้งไว้ด้วย เพราะผมก็รู้ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้น ปรากฎว่าระหว่างอ่านประกาศ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท โดนจี้ เลยอ่านได้แค่ครึ่งเดียวแล้วตอนนั้นก็มีการเข้าเฝ้าฯ ทำให้เราไม่สามารถควบคุมเกมอะไรได้ จบ
วันรุ่งขึ้นผมจะขึ้นเครื่องบินกลับ แต่เครื่องขึ้นไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้น เพราะฝ่ายปฏิวัติบอกไม่ให้เครื่องบินขึ้น เขากลัวผมกลับเข้าเมืองไทย ถ้าผมกลับเข้าเมืองไทยได้ เสร็จผมแน่ ผมไม่ค่อยกลัวใครอยู่แล้ว ผมโดนลอบยิงมาหลายหลายยังไม่ตาย”
เพื่อนผมโทรมา 3 รายถามว่าเครื่องบินไออยู่ที่นี่นะ เอาเครื่องบินไอไปได้เลย ผมก็เลยไปลงอังกฤษ ไม่ลงเมืองไทย เครื่องบินบินไปเมืองไทย ไปถึงก็ค้นใหญ่ นึกว่าผมนอนอยู่ในตู้
ทักษิณระบุต่อว่า หลังจากนั้นมีการพบว่ามีความพยายามจะบุกเข้้าไปที่บ้านพัก ตนจึงโทรไปถาม พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ คมช. ถามว่ายังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยจะบุกกันอย่างนี้เลยเหรอ
“ผมบอกถ้าบุกเข้าไป ก็ยิงกันนะ ผมก็มีทหารอยู่ในบ้าน เขาบอกไม่มีครับ ก็เลยหยุดไม่ให้เข้าไป หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกันไม่มีอะไร”
“ผมเป็นลูกผู้ชาย จบเป็นจบ บางคนถามทำไมไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น คือรัฐบาลพลัดถิ่นสมัยก่อนกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกัน และผมก็ไม่อยากให้มันเยิ่นเย้อ อยากให้ประเทศเดินหน้าต่อไป นึกว่าเขาปฏิวัติแล้วจะทำอะไรที่มันฉลาดๆ แต่ปฎิวัติแล้วก็็ยังโง่อยู่ถึงทุกวันนี้
ผมยังโทรบอก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และหัวหน้าคณะยึดอำนาจขณะนั้น บอกท่าน ผบ.ทบ. ผมลูกผู้ชายนะจบเป็นจบ แต่อย่ากลั่นแกล้งผมทางการเมืองนะ ผมไม่ยอม ท่านยัง ครับผม ครับผมอยู่เลย”
ผมไม่ใช่นักปฏิวัติ ผมเป็นนักคิด นักแก้ไข แนะหลักการเปลี่ยนเองก่อนถูกบังคับให้เปลี่ยน
ต่อมามีผู้ถามถึงกรณีการพูดคุยกับทูตของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2551 ซึ่งทักษิณเคยระบุว่า หนึ่งในวาระของผมคือ ความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพออกจากกฎหมายอาญา ประเทศไทยไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย ตราบที่ยังมีการคุกคามการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงต้องการสอบถามจุดยืนของทักษิณว่าในเวลานี้กับอดีตยังเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะกระแสในทวิตเตอร์เวลานี้ีกำลังถล่มทักษิณว่าเป็น รอยัลลิสต์ ถึงขั้นว่า “สู้ไปกราบไป”
ทักษิณตอบว่า ตนเป็นนักเรียนนายร้อย เป็นนักเรียนเตรียมทหารมา จะให้ตนเป็นคนอีกประเภทหนึ่งคงไม่ใช่ ตนเป็นคนที่อยู่กับระบบ และเคารพระบบ แต่ถ้าระบบมีปัญหาเราก็มีสิทธิที่จะวิจารณ์ และนำไปสู่การแก้ไข
“ผมเป็นนักคิด นักแก้ไขเปลี่ยนแปลงมากกว่านักปฏิวัติ ผมจะเปลี่ยนแปลงด้วยสมอง ผมไม่เปลี่ยนแปลงอะไรด้วยกำลัง และก็ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในประเทศในภายหน้า ถ้าผมสามารถทำอะไรได้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทย ผมทำได้ เพราะผมถือว่าชาติมาก่อน และชาติคือประชาชน และอย่างอื่นผมถือว่าเป็นส่วนปลีกย่อย มันปรับเปลี่ยนได้ มันปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกาลเวลาได้
เมื่อเวลามันเปลี่ยน คนเรามันต้องกล้าเปลี่ยน และยอมเปลี่ยน ผมฝากไว้อย่างนะเด็กรุ่นใหม่จำไว้ให้ดีๆ อยากได้มาก จะได้น้อย อยากได้น้อย จะได้มาก โลกยุคใหม่ถ้าเป็นคนใจแคบจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเป็นคนใจกว้างโอกาสที่เราจะเติบโตมันมีสูง
ฉะนั้นเหมือนกันใครอยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไรก็แล้วแต่ ถ้าขืนใจแคบและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงมันพังหมด เราเรียกว่า You have to change before you”re forced to change ถ้าคุณ Forced to change คุณไม่ได้ Plan change แต่ถ้าคุณ Change before force คุณยัง Plan your change ได้อยู่
ฉะนั้นผมคิดว่าทุกระดับ ทุกองค์กร ทุกอำนาจจะต้อง Plan your change เพื่อจะได้ change ไปสู่จุดที่ดี แต่ถ้าถูก forced to change จบไม่สวยสักคน ผมขอตอบตามหลักการนี้”