.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
การศึกษาของฮาร์วาร์ด เผย 3 นิสัยของเด็กเล็ก(ที่ดูเหมือน)แย่ๆ แต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นสัญญาณของ “ความฉลาดที่เหนือกว่า”เชื่อพ่อแม่ที่เข้าใจตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จได้!
ในการเลี้ยงดูลูกๆ พ่อแม่มักหวังให้เติบโตมาอย่างฉลาด สุขภาพแข็งแรง มีความสุข และประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ให้เห็นว่าทีนิสัย 3 ประการในเด็กเล็ก ซึ่งดูเหมือนไม่ดี แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นสัญญาณของความฉลาดที่เหนือกว่า
ดังนั้น หากพ่อแม่ทำความเข้าใจตั้งแต่เนิ่นๆ และรู้วิธีแนะนำลูกไปในทางที่ถูกต้อง นิสัยเหล่านี้ก็สามารถกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่จะช่วยให้เด็กๆ ใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างไม่ยากนัก
ความเหม่อลอยบ่อยๆ – เป็นสัญญาณของจินตนาการอันล้ำเลิศ
พ่อแม่หลายคนเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าลูกๆ มักจะจมอยู่ในโลกของตัวเอง โดยคิดว่าเป็นสัญญาณของการขาดสมาธิหรือความเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาที่ฮาร์วาร์ดอ้างว่า นี่อาจเป็นสัญญาณของสมองที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อเด็กๆ นั่งนิ่งๆ จ้องออกไปนอกหน้าต่าง หรือจมอยู่กับความคิด สมองของพวกเขาจะทำงานหนักในการประมวลผลข้อมูลและสร้างแนวคิดใหม่ๆ
นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งอีสต์แองเกลีย (สหราชอาณาจักร) แสดงให้เห็นว่า การเพ้อฝันสามารถกระตุ้นจินตนาการ ช่วยให้เด็กคิดได้อย่างยืดหยุ่น และแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในความเป็นจริง อัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ ไอแซก นิวตัน มีชื่อเสียงในเรื่องนิสัย “เหม่อลอย” แต่การเพ้อฝันนี่เองที่ช่วยให้พวกเขาค้นพบแนวคิดดีๆ และเป็นการวางรากฐานสำหรับสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนแปลงโลก
ดังนั้น แทนที่จะกังวลใจเมื่อเห็นลูกๆ เหม่อบ่อยๆ ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมให้เด็กๆ จินตนาการผ่านการวาดภาพ เขียนเรื่องราว หรือสำรวจแนวคิดสร้างสรรค์ เพราะบางครั้งช่วงเวลาแห่งความฝันเหล่านี้ จะช่วยปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งพรสวรรค์ที่โดดเด่นในอนาคต
เด็กที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ – สัญญาณของความเข้าใจและสติปัญญาทางอารมณ์
เด็กที่มีความอ่อนไหว มักมีปฏิกิริยาทางอารมณ์รุนแรง โดยอาจร้องไห้ได้ง่ายเมื่อถูกตำหนิหรือรู้สึกไม่ยุติธรรม นี่ทำให้พ่อแม่หลายคนเป็นกังวล คิดว่าลูกของตนอ่อนแอเกินไป
อย่างไรก็ตาม ตามการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่านี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กำหนดความสำเร็จในชีวิต เพราะเด็กที่มี EQ สูง ไม่เพียงแต่รู้วิธีเข้าใจอารมณ์ของตนเองเท่านั้นแต่ยังมีทักษะความเห็นอกเห็นใจและการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยให้เด็กๆ สร้างความสัมพันธ์ พัฒนาทักษะทางสังคม และแม้กระทั่งมีคุณสมบัติความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติได้ง่ายขึ้น
โดยบุคคลที่โดดเด่น เช่น สตีฟ จ็อบส์, บิล เกตส์ หรือ โอปราห์ วินฟรีย์ ล้วนมีความฉลาดทางอารมณ์เป็นเลิศ ซึ่งช่วยให้พวกเขาเชื่อมโยงกับผู้อื่นและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ดังเช่นที่คนทั่วโลกรับรู้กันดี
ดังนั้น แทนที่จะบังคับให้เด็กเข้มแข็ง ผู้ปกครองควรช่วยให้พวกเขาเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเอง ส่งเสริมให้แบ่งปันความคิด และสอนให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ผ่านทางการอ่าน การเล่นตามบทบาท หรือกิจกรรมชุมชน เนื่องจากเด็กที่มีความอ่อนไหว หากได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ก็สามารถเติบโตมาเป็นคนรอบคอบ เข้าใจ และประสบความสำเร็จในอนาคตได้
พูดมาก ชอบโต้แย้ง – สัญญาณของการคิดวิเคราะห์อย่างเฉียบแหลม
หากเด็กมักถามคำถาม ชอบถกเถียงและโต้เถียงกับทุกเรื่อง ผู้ปกครองก็ไม่ควรอารมณ์เสีย เพราะตามการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่านี่ไม่ใช่เพียงการแสดงออกถึงความดื้อรั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณว่าเด็กนั้นมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่เฉียบแหลม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ มีความมั่นใจ มีความคิดแจ่มใส และประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างง่ายดาย
เด็กเหล่านี้มักจะจดจำคำศัพท์ได้มากมาย มีความสามารถในการแสดงออกอย่างชัดเจน และคิดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยยอมรับข้อมูลแบบง่ายๆ แต่จะชอบขุดลึก วิเคราะห์ และหาข้อขัดแย้งเพื่อสร้างข้อโต้แย้งที่หนักแน่น ซึ่งนี่คือคุณสมบัติที่โดดเด่นของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ประกอบการ และผู้นำที่โดดเด่น
ดังนั้น ผู้ปกครองสามารถช่วยให้บุตรหลานพัฒนาความแข็งแกร่งนี้ได้ โดยการสนับสนุนให้พวกเขาถามคำถาม รับฟังความคิดเห็น และแนะนำให้โต้แย้งอย่างมีตรรกะและพอประมาณ ผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น การโต้วาที การอ่าน การเขียนเรียงความ หรือการเข้าร่วมชมรมการพูด ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ ฝึกการคิดอย่างมีวิจารณญาณเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนความอยากรู้อยากเห็นให้เป็นแรงจูงใจที่จะสำรวจ เรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างครอบคลุมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง
ท้ายที่สุด แทนที่จะกังวลเมื่อลูกมีนิสัย “ผิดปกติ” ผู้ปกครองควรเห็นว่าเป็นสัญญาณของความฉลาดที่เหนือกว่า และควรใช้โอกาสนี้ในการเลี้ยงดูลูก ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของลูกน้อยของคุณด้วยการสนับสนุนให้จินตนาการ ทดลอง และสำรวจโลกที่อยู่รอบตัว
ในเวลาเดียวกันการศึกษาเรื่องอารมณ์ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ สร้างความมั่นใจในตัวเอง และพัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นอกจากนี้ ผู้ปกครองสามารถช่วยให้เด็กๆ ฝึกการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ โดยการตั้งคำถามปลายเปิด ส่งเสริมให้พวกเขาแสดงความคิดเห็น โต้แย้งอย่างมีตรรกะและเคารพซึ่งกันและกัน
เมื่อผู้ปกครองมีความเข้าใจและมุ่งเน้นอย่างถูกต้อง เด็กๆ จะไม่เพียงแต่พัฒนาทางสติปัญญาอย่างรอบด้านเท่านั้น แต่ยังสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จในอนาคตอีกด้วย
- ศาสตราจารย์ชื่อดัง ชี้ส่งลูกเรียนพิเศษ 3 คลาสนี้ เปลืองเงินไร้ประโยชน์ พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!
- พ่อเอะใจ ลูกสาวเกรดแย่ลง หลังจ้าง “ติวเตอร์” ติดกล้องเห็นพฤติกรรม โกรธจนตัวสั่น