ชายอายุแค่ 19 ปี ต้องนอนติดเตียงนาน 14 เดือน ทนผ่าตัดซ้ำๆ ลั่นชีวิตพัง เพราะขนเส้นเดียว!
ดีลัน คอนเวย์ อดีตทหารจากควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ต้องเข้ารับการผ่าตัด 9 ครั้ง และใช้เวลานอนป่วยบนเตียงนานกว่า 1 ปี เนื่องจากอาการ pilonidal sinus ซึ่งมีสาเหตุมาจากขนคุดที่อยู่ระหว่างก้น ทำให้เขาไม่สามารถนั่งหรือเดินได้เนื่องจากอาการเจ็บปวดมาก จนเขาต้องหยุดทำงานในกองทัพ
เขาบอกในสัมภาษณ์กับ ABC Science ในปี 2022 ว่า ขณะรับราชการเป็นนายทหารในกองทัพออสเตรเลีย ชีวิตของเขาหยุดชะงักเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง พบว่ามีอาการปวดหลัง “จากวันแรก ผมพยายามที่จะเป็นคนที่ฟิตที่สุดในที่นั่น การวิ่งหรือการออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตผม”
หลังจากนั้นเขารู้สึกเหมือนมีแรงกดทับที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง ซึ่งทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งแรก โดยคิดว่าหลังจากผ่าตัดเสร็จจะกลับไปฝึกซ้อมต่อได้ แต่ในความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น…
Pilonidal sinus (หรือที่เรียกกันว่า pilonidal cyst) คือโรคที่เกิดจากการมีรูหรือโพรงเล็กๆ ที่ผิวหนังบริเวณรอยแยกของก้น (ระหว่างก้น) ซึ่งมักจะเกิดจากขนที่งอกเข้ามาในผิวหนังหรือฝังตัวในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบและบวม อาจมีการติดเชื้อได้ หากไม่ได้รับการรักษา
ตามข้อมูลจาก NHS โรคนี้พบบ่อยในผู้ชายเนื่องจากมักมีขนเยอะกว่า รวมทั้งคนที่มีขนมากในบริเวณดังกล่าว และมักเกิดจากการเสียดสีระหว่างก้นทำให้ขนงอกเข้าไปในผิวหนัง
ดิลันอธิบายว่า “ถ้าส่องดูขนผ่านกล้องจุลทรรศน์มันจะดูคล้ายกับสกรู และการเสียดสีจากการเดินจะทำให้ขนฝังลึกเข้าไปในผิวหนัง” โรคนี้ทำให้ชีวิตเขาพังลง เขาไม่สามารถนั่งหรือเดินได้ และไม่สามารถพบปะกับเพื่อนฝูงหรือครอบครัวได้เลย
หลังจากการผ่าตัดหลายครั้งและผลการผ่าตัดที่ไม่สำเร็จ ดิลันต้องผ่านการผ่าตัดซ้ำไปเรื่อยๆ และสภาพจิตใจของเขาก็ย่ำแย่ลง เขาบอกว่า “แต่ละครั้งที่ผ่าตัด ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะตื่นขึ้นมาพบอะไร” จากช่วงเวลาที่เขาเคยมั่นใจในรูปร่างของตัวเองแต่พอมาเจอกับอาการนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เพื่อหาทางออกและมองโลกในแง่ดีขึ้น ดิลันเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับคนที่ผ่านความยากลำบาก เขากลายเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากขึ้น และในปี 2020 เขาก่อตั้งองค์กรการกุศลชื่อ BrothersNBooks โดยสร้างห้องสมุดชุมชนในโรงพยาบาลและศูนย์ดูแลทหารผ่านศึก
แม้ดิลันจะยังคงมีแผลเป็นจากโรคนี้ แต่เขามีมุมมองใหม่ในชีวิต “ตอนนี้ผมมีแผลใหญ่ที่หลังและก้น แต่ผมไม่สนใจว่ามันจะดูเป็นยังไง ผมแค่ดีใจที่ได้ออกไปข้างนอก และเริ่มเดินได้อีกครั้ง” โดยเขาหวังว่าการพูดถึงเรื่องนี้จะช่วยให้คนที่กำลังเผชิญกับโรคนี้ในอนาคตได้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว