เปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกรุ่นแล้วครับ สำหรับหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดของทางหัวเว่ยอย่างเจ้าHUAWEI FreeBuds 4 เป็นหูฟัง Open-Fit หรือเอียร์บัด (Earbuds) ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีลดเสียงรบกวน Adaptive Ear Matching มอบคุณภาพเสียงระดับ Hi-Res รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทดีไวซ์ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน
หูฟังไร้สายแบบ Open-Fit ที่ชูความโดดเด่นด้านประสบการณ์เสียงสมจริง ด้วยเทคโนโลยี Open-Fit ANC 2.0 ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุด 25 เดซิเบล พร้อมไดนามิกไดรเวอร์ 14.3 มม. ตอบสนองย่านความถี่สูงสุด 40kHz เชื่อมต่ออัจฉริยะได้ถึงสองอุปกรณ์พร้อมๆ กัน สวมใส่สบาย พกพาสะดวกด้วยน้ำหนักเบาเพียง 4.1 กรัม รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
และถือเป็นความโชคดีที่หลังงานเปิดตัวทีมงาน Sanook! Hitech ได้รับโอกาสจากหัวเว่ย ประเทศไทย ในการได้ทดลองเล่นผลิตภัณฑ์ใหม่รุ่นนี้และนำมาเขียนรีวิวเล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันว่าสรุปแล้ว HUAWEI FreeBuds 4 รุ่นใหม่และราคาที่เปิดขายเราควรเสียเงินหรือไม่? ก่อนเริ่มรีวิวเราก็ต้องทำความรู้จักกับสเปกของหูฟังไร้สายรุ่นใหม่กันก่อน
คุณสมบัติของ HUAWEI FreeBuds 4
- ขนาด: หูฟัง 41.4 มม. X 16.8 มม. X 18.5 มม. , เคสชาร์จ เส้นผ่านศูนย์กลาง 58 มม. หนา 21.2 มม.
- น้ำหนัก: หูฟัง 4.1 กรัม, เคสชาร์จ 38 กรัม
- สี: Silver Frost, Ceramic White
- ขนาดไดรเวอร์14.3 มม. ไดนามิกไดรเวอร์แบบ LCP ไดอะแฟรม
- ระบบตัดเสียงภายนอกระหว่างการฟัง
- ระบบตัดเสียงภายนอกระหว่างโทรศัพท์
- ระบบต้านทานเสียงลม
- ประเภทแบตเตอรี่: Lithium polymer แบบถอดออกไม่ได้
- ความจุแบตเตอรี่: 30 mAh (หูฟัง), 410 mAh (เคสชาร์จ)
- ระยะเวลาการใช้งาน 4 ชั่วโมง เมื่อปิดการใช้งาน ANC และ 22 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ 2.5 ชั่วโมง เมื่อเปิดการใช้งาน ANC และ 14 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ
- เทคโนโลยีและระยะเวลาชาร์จ: ชาร์จแบบมีสาย: USB Type – C, ระยะเวลาชาร์จเต็ม 1 ชั่วโมงสำหรับหูฟังไร้สาย และ 50 นาทีสำหรับเคสชาร์จ
- มาตรฐานการกันน้ำ: IPX4
- บลูทูธ: Bluetooth 5.2
เริ่มกันด้วยรูปร่างและการดีไซน์ของ HUAWEI FreeBuds 4
แกะกล่องส่องอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
- หูฟังไร้สาย HUAWEI FreeBuds 4
- เคสชาร์จ
- สายชาร์จ USB-C
- คู่มือการใช้งาน
- ข้อมูลความปลอดภัย
- ใบรับประกันสินค้า
หน้าตาของตัวกล่อง HUAWEI FreeBuds 4 นั้นจะมาในทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ออกบได้เรียบหรูดูแพง
ดีไซน์ของ Huawei FreeBuds 4
ขอเริ่มที่ตัวเคสก่อน ยังคงเป็นแบบทรงกลม พกพาง่าย หากใครเคยใช้ Huawei FreeBuds 3 จะพบว่าดีไซน์ของมันนั้นคล้ายกันกับรุ่นเดิมทุกประการ มีปุ่มกดฝั่งซ้ายไว้สำหรับเชื่อมต่อ (Pairing) กับอุปกรณ์ใหม่ แถมยังรองรับระบบ Wireless Charging ตำแหน่งที่ชาร์จจะอยู่ที่ด้านหน้าของเคส ด้านหน้าจะมีไฟบอกสถานะการชาร์จไฟ และแสดงว่ามีไฟกี่เปอร์เซนต์ โดยแบ่งออกเป็นสีดังนี้
- เขียว = 80 – 100%
- เหลือง = น้อยกว่า 80% แต่มากกว่า 50%
- แดง = ต่ำกว่า 50%
- ขาว = กำลังเชื่อมต่อ หรือ Pairing Mode
ส่วนล่างของตัวเคสนั้นจะมาพร้อมกับช่องชาร์จ USB Type C ไว้สำหรับเสียบชาร์จไฟ และน้ำหนักของเคสอยู่ที่ 38 กรัม นับว่าน้ำหนักเบาและยังพกพาไปได้ได้ทุกที่เพราะขนาดไม่ได้หนาจนเกินไป และยังมีสีให้เลือก 2 สี 2 สไตล์ คือสีเงิน Silver Frost พื้นผิวด้าน ให้ความรู้สึกสง่างามและหรูหรา กับสีขาว Ceramic White พื้นผิวมันวาว คลาสสิกและแมทช์กันได้กับการแต่งกายทุกลุค สีสันนั้นจะสอดคล้องกับตัวหูฟังด้วยครับ
เมื่อเปิดหูฟังออกมาจะพบว่าฝานั้นกางได้กำลังดี แต่ว่าอาจจะต้องใช้เล็บในการช่วยสะกิดสักเล็กน้อย เพื่อให้สามารถดึงหูฟังออกไปใช้งานได้ แต่ถ้ากางได้มากกว่านี้ผมจะถือว่ามันน่าใช้มากกว่านี้ครับ
ส่วนตัวหูฟังนั้นเป็นแบบ Open-Fit (หรือคนทั่วไปจะเรียกว่า EarBuds) หมายความว่าใส่แล้วจะไม่ได้ดันหูและเหมาะกับคนที่ไม่ชอบหูฟังแบบมีจุกยางหรือ In-Ear ที่จะใส่แล้วอึดอัดเกินไป แต่สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากคือ มันไม่ค่อยจะแน่นเท่าไหร่ดังนั้นต้องเช็คให้ดีว่าหูฟังของคุณใส่ได้ถูกตำแหน่งหรือไม่ หากไม่แน่นอาจจะหลุดได้ง่ายและเสียงไม่ดังพอ
ไมโครโฟนของหูฟังรุ่นนี้ติดตั้งมาให้ทั้งหมด 3 จุดไว้สำหรับลดเสียงรบกวนและเพิ่มเสียงการสนทนาให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม และยังมีเซนเซอร์สำหรับจับเรื่องการสวมใส่ที่หน้าหูฟัง เพื่อจะหยุดการเล่นเพลง เมื่อคุณถอดหูฟังออกไป และนอกจากนี้ขั้วข้างล่าสุดไว้สำหรับชาร์จไฟหูฟัง แนะนำว่าควรทำความสะอาดแบบ แผ่วเบาที่สุด เพื่อหน้าหน้าสัมผัสกับเคส รองรับการใช้งานได้ยาวนานขึ้น
น้ำหนักของหูฟังที่มีเพียงแค่ 1 กรัมกับการทดลองใช้งานจริง
Huawei FreeBuds 4 มีจุดเด่นในเรื่องของน้ำหนักที่เบาเพียง 1 กรัม ซึ่งทดลองกับการใส่หูของตัวอย่างกว่า 10,000 แบบทำให้ทรงกระชับและเข้ากับหูได้ดี เมื่อทดลองใส่แล้ว ถือว่าทำได้ดี แต่ว่าเนื่องจากวัสดุของหูฟังที่ดูเงา มาเจอกับเหงื่อของคนเวลาออกกำลังกาย มันก็เลยจะทำให้หูฟังหลุดได้ง่าย ฉะนั้นต้องระวังในจุดนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าใส่และปรับองศาให้ถูกต้อง มันจะใส่ได้อย่างพอดี
การเชื่อมต่อครั้งแรกของ Huawei FreeBuds 4
หากคุณใช้งานอุปกรณ์ของ Huawei เช่นมือถือหรือ Tablet ของ Huawei นั้นจะพบว่าเมื่อเปิดฝาเคสก็จะแสดงผลตามรูปด้านบน โดยอุปกรณ์จะต้องใช้ระบบปฏิบัติการ EMUI 10.0 ขึ้นไปรวมไปถึง Harmony OS ด้วย
นอกจากนี้ Huawei FreeBuds 4 มีการปรับปรุงระบบการเชื่อมต่อ โดยเลือกใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.2 ทำให้มีประโยชน์ต่อการเชื่อมต่อได้หลากหลายอุปกรณ์ โดยรองรับการต่อเชื่อม 2 อุปกรณ์พร้อมกับ และยังทำงานกับโทรศัพท์มือถือ, Tablet ได้แบบไร้รอยต่อ แถมยังเชื่อมต่อกับ Notebook, Smart Watch, Smart TV ได้ด้วย
แต่ความพิเศษยังมีอยู่ที่โหมดสลับการทำงานอัตโนมัติ หากคุณใช้ Tablet หรือ มือถือจาก Huawei ที่ใช้ EMUI 10.0 ขึ้นไปจะมีการแสดงผล POP-UP ว่าเชื่อมต่อได้ง่ายดาย โดยการเชื่อมต่อครั้ง
มาทดลองฟังเสียงจากระบบลำโพง Hi-Res กับไดนามิกไดร์เวอร์ขนาดใหญ่ 3 มม. ที่ตอบสนองความถี่ได้มากถึง 40 kHz กันดีกว่า
ในเรื่องคุณภาพเสียงถือว่าให้พลังที่ดี เกิดจากไดนามิกไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 3 มม. ซึ่งใช้ไดอะแฟรมที่มีส่วนประกอบของพอลิเมอร์ผลึกเหลว (LCP) รองรับการตอบสนองต่อย่านความถี่สูงสุดถึง 40 kHz มอบประสบการณ์เสียงที่เก็บรายละเอียดได้ระดับมืออาชีพ มาพร้อมกับเสียงเบสอัดแน่น พร้อมช่องเสียงแบบสุญญากาศและท่อเสียงเบส
นอกจากนี้ไมโครโฟนของ Huawei FreeBuds 4 ยังรองรับการบันทึกเสียงคุณภาพระดับ HD ด้วยค่าความละเอียดในการบันทึกเสียงสูงสุดที่ 48 kHz ใช้ใส่ถ่าย Vlog เก็บรายละเอียดเสียงได้แบบมืออาชีพ แถมคุยสายชัดเจนกับคุณภาพเสียงการคุยโทรศัพท์สูงสุดที่ 32 kHz
เมื่อทดลองฟังจริงเทียบกับ Huawei FreeBuds 3 พบว่าเสียงที่ออกมานั้นจะมีมิติมากกว่าเดิมพอสมควร เช่นเสียงของนักร้องก็มาแบบอย่างต่อเนื่องคมชัด คู่กับ เครื่องดนตรีที่เก็บรายละเอียดดี แต่ว่าถ้าต้องฟังเพลงที่มีเครื่องดนตรีเยอะ Dynamic ที่ได้นั้นอาจจะดูแปลกไปหน่อย เพราะเท่าที่สังเกตคือ เครื่องดนตรีจะอยู่ไกลจากตัวนักร้องมากพอสมควร จะทำให้เสียงนักร้องดังกว่าและกลบเครื่องดนตรีไปหมด แต่ก็สามารถแก้ไขได้โดยจะต้องมีการปรับ Equlizer ช่วยสักเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นคนฟังเพลงอาจจะต้องหาจุกยากใส่ครอบเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความแน่นที่มากกว่านี้
เทคโนโลยี Open-Fit ANC 2.0 และไมโครโฟน 3 ตัว ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุด 25 เดซิเบล กับการทำงานจริง
เนื่องจาก Huawei FreeBuds 4 นั้นออกแบบหูฟังแบบ Open-Fit ถ้าปกติแล้วจะไม่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ แต่ทาง Huawei ได้ใส่เทคโนโลยี Open-Fit ANC 2.0 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีชั้นนำของแวดวงอุตสาหกรรม ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุด 25 เดซิเบล ทำให้สามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงได้อย่างเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่พลาดข้อมูลสำคัญรอบด้านอย่างเสียงคนรอบตัวหรือการแจ้งเตือน ทั้งหมดจะใช้ไมโครโฟน 3 ตัวช่วยกันระหว่างคุยโทรศัพท์
โดยไมโครโฟน 2 ตัวมีระบบการตัดเสียง ANC และเมื่อทำงานจริงๆ แล้วพบว่าเสียงรบกวนทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมอยู่พอสมควร รอบนี้ไม่ได้ปล่อยให้ AI ทำงานอย่างเดียวแต่มีการใช้ไมโครโฟนหักเหเสียงออกไปช่วยให้เสียงรบกวนนั้นลดลงได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ถ้าได้ทดลองในสถานการณ์ต่างๆ เช่นเดินอยู่ในพื้นที่ที่มีคนไม่ได้เยอะ ได้ยินเสียงสนทนาคมชัด แต่ยังมีการเล็ดลอดของเสียงภายนอกอยู่บ้าง แต่ถ้า เป็นสถานที่มีเสียงรบกวนเยอะๆ อาจจะต้องทำใจว่ายังไงก็มีเสียงรบกวนแน่นอน แต่มันจะน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ พอสมควร
นอกจากนี้ ยังมาพร้อม Low Latency Gaming Mode ให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินกับการเล่นเกมด้วยค่าความหน่วงต่ำกว่า 150 มิลลิวินาที ภาพกับเสียงสอดคล้องกันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งเอาเข้าจริงคือ ถ้าเป็นเกมแนว Shooting ที่ได้ทดลองเล่นกับ Pubg ถือว่าทำได้ดี แต่อาจจะยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของศัตรูได้ว่ามาจากทิศทางไหน และการเปิดโหมดนี้ทำได้ง่ายเพียงแค่แตะที่หูฟังเท่านั้น
การสั่งงานสัมผัสของ Huawei FreeBuds 4
การสั่งงาน Huawei FreeBuds 4 สามารถทำได้ดีโดยการแตะที่ก้านของหูฟังรองรับคำสั่งมากมายเช่น
- แตะ 2 ครั้งเพื่อเล่น/หยุดเพลงชั่วคราว หรือรับสาย/วางสาย
- แตะค้างเพื่อเปิด/ปิดโหมด ANC
- สไลด์ขึ้น/ลงเพื่อปรับระดับเสียง
- และ สามารถตั้งค่าคำสั่งการใช้งานตามความคุ้นเคยของตนเอง
และยังสามารถตั้งค่าได้ผ่าน Application ที่มีชื่อว่า Huawei AI Lite ที่รองรับการทำงาน เฉพาะบนฝั่งของแอนดรอยด์เพื่อปรับแต่งประสิทธิภาพเพิ่ม แต่เอาจริง ๆ แล้วหูฟังแบบนี้แกะกล่องแล้วเสียบฟังเลยก็มีคุณภาพเสียงก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับอะไรเพิ่ม แต่ถ้าอยากเพิ่มลูกเล่นอะไรนิดหน่อยก็สามารถดาวน์โหลด Huawei AI Life มาปรับ ๆ แต่ง ๆ ก็ได้เช่นกัน
เราสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นอย่าง Huawei AI Life จากใน HUAWEI AppGallery มาใช้งานได้ทันทีครับ ภายในของ Apps HUAWEI AppGallery ก็เหมือนกับตลาดซื้อหาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ มาลงเครื่องเหมือนกับใน Google Play Store ของ Google นั้นแหละครับ
ในส่วนของ Application Huawei AI Lite ยังมีฟีเจอร์การปรับการทำงานลูกเล่นและ Sensor ต่างๆ ของ Huawei FreeBuds 4 ได้ครบเช่น ปริมาณ แบตเตอรี่, การตั้งค่ารูปแบบของปุ่ม, การตั้งค่าเซนเซอร์ รวมไปถึงการอัปเดต Firmware พร้อมกับมีคำแนะนำในการใช้อย่าง Help เป็นต้น
การใช้งานแบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ
ภายใน Huawei FreeBuds 4 จะแบ่งแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ หูฟังมาพร้อมแบตเตอรี่ข้างละ 30 mAh และเคสชาร์จอีก 410 mAh ทำให้เล่นเพลงต่อเนื่องได้นานสูงสุด 4 ชั่วโมง เมื่อปิดการใช้งาน ANC และนานสูงสุด 22 ชั่วโมงเมื่อปิด ANC และใช้ร่วมกับเคสชาร์จ ถือว่านานอยู่ครับ
นอกจากนี้ยัง รองรับการชาร์จแบบไร้สาย ผ่านการวางแท่น Wireless Charge และชาร์จไฟแบบสายผ่าน USB-C แต่สำหรับคนใจร้อนอยากฟังเพลงทันทีแค่เอาหูฟังใส่เคสเพียง 15 นาที ก็สามารถใช้งานต่อได้ 5 ชั่วโมงได้สบายๆ (แต่ต้องปิดระบบ ANC นะ)
สรุปความน่าใช้งานของ HUAWEI FreeBuds 4 หลังได้ใช้งานอย่างจริงจัง
โดยรวมแล้ว Huawei FreeBuds 4 ถือว่าพัฒนาและลบจะอ่อนของ Huawei FreeBuds 3 ได้ค่อนข้างครบหมด อาจจะต้องมีปรับในเรื่องของก้านเล็กน้อยให้สามารถใส้ได้อย่างพอดีและไม่ไหลออกเวลาโดนเหงื่อ เพราะคาดว่ามีหลายคนก็นำหูฟังนี้ไปออกกำลังกายในบ้านอยู่ไม่น้อย แต่นอกนั้น เสียงดีขึ้น ไมโครโฟนทำงานดีขึ้น การทำงาน ANC เสถียรจนใกล้เคียงกับ Huawei FreeBuds Pro ที่จัดเป็นหูฟังเรือธงของค่ายนี้อยู่ครับ
สำหรับท่านใดที่สนใจหูฟัง HUAWEI FreeBuds 4 ล่ะก็ สามารถแวะเข้ามาทดลองเล่นและฟังกันได้ที่ช้อปของ HUAWEI ได้ทุกสาขาเลยครับ โดยราคาของ HUAWEI FreeBuds 4 นั้นอยู่ที่ 4,499 บาท
สรุปว่าหากคุณกำลังมองหาหูฟังฟังไว้ใช้งานใหม่สักอัน ที่ไม่ได้เป็นรูปทรง In Ear และใส่สบายใช้งานง่าย HUAWEI FreeBuds 4 ผมว่ามันสามารถตอบโจทย์คุณได้มาก ๆ ทั้งยังคุ้มค่าเรื่องราคา และคุณภาพในตัวครับ
HUAWEI FreeBuds 4 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเงิน Silver Frost และสีขาว Ceramic White วางจำหน่ายในราคา 5,999 บาท ลดพิเศษสำหรับโปรโมชันพรีออเดอร์เหลือเพียง 4,499 บาท พร้อมรับฟรีบริการ HUAWEI Music VIP นาน 3 เดือน รวมมูลค่า 387 บาท เมื่อซื้อระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ถึง 22 กรกฎาคม 2564 โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่ร่วมรายการอย่าง HUAWEI Online Store, Shopee, Lazada และ JD Central