เด็กชายไม่พูดจนอายุ 4 ขวบ พูดประโยคแรกกลางดึก ทำพ่อแม่ขวัญผวา ตัดสินใจย้ายบ้านทันที สุดท้ายได้รู้ลูกเป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องหลอน แต่มันคือพรสวรรค์
เว็บไซต์ Sohu รายงานเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งในมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน ที่แพทย์ตรวจร่างกายแล้วทุกอย่างปกติ แต่จนถึงอายุ 3 ปี ก็ยังไม่ยอมพูด ทำให้พ่อแม่รู้สึกหนักใจมาก จนกระทั่งวันหนึ่งในกลางคืน เด็กชายที่พูดช้าได้เริ่มพูดประโยคแรกออกมา แต่คำพูดแรกนั้นทำให้พ่อแม่ตกใจจนขนลุก และตัดสินใจย้ายบ้านทันที
ปี่ เจียรุ่ย เด็กชายที่เกิดในปี 2547 ที่เมืองเล็กๆ ในมณฑลเหลียวหนิง ขณะนั้นพ่อแม่อายุ 40 และ 36 ปี แล้ว ทั้งคู่รู้สึกดีใจมากที่มีลูกคนแรกหลังจากแต่งงานมาหลายปี และแน่นอนว่าทารกน้อยถูกดูแลอย่างดีเหมือนเป็นเพชรล้ำค่า
เนื่องจากแม่ของเขา เฉิน เซียวหลาน แต่งงานและมีลูกเมื่ออายุมาก เธอจึงระมัดระวังเป็นพิเศษในระหว่างตั้งครรภ์ กลัวว่าจะมีปัญหากับการพัฒนาของลูกในครรภ์
หลังจากตั้งครรภ์ 10 เดือน และคลอดออกมา เด็กชายตัวน้อยน่ารัก มีสุขภาพดี และทุกอย่างดูปกติ พ่อแม่จึงรู้สึกโล่งใจ
ในช่วงที่ลูกเติบโตขึ้น พ่อแม่ให้ความรักและการดูแลอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะแม่ที่คอยเอาใจใส่และให้ความรักอย่างเต็มที่
แต่เมื่อเด็กชายอายุได้ 3 ปี เฉิน เซียวหลาน เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เมื่อลองย้อนกลับไปคิด ลูกชายของเธอไม่เคยเรียกคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” เลย
เด็กที่อายุเท่านี้ควรจะสามารถพูดคุยกับเพื่อน ๆ ได้ แต่เขากลับไม่ยอมพูดแม้แต่คำเรียกง่าย ๆ และยังไม่ยอมพูดอะไรเพิ่มเติม
เฉิน เซียวหลาน จึงได้แจ้งความกังวลนี้ให้สามี ปี่ เจียหมิง ทราบ ทั้งคู่เคยสังเกตเห็นปัญหานี้ตั้งแต่ลูกอายุ 1 หรือ 2 ขวบ และได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว
แพทย์ได้ให้ความมั่นใจว่าพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน การพูดก็มีความแตกต่างกันไป ขอเพียงสุขภาพของเด็กดี พ่อแม่ต้องพูดคุยกับเขาบ่อย ๆ เด็กจะเริ่มพูดได้ในไม่ช้า
หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และชีวิตก็ยังดำเนินไปตามปกติ
แต่เมื่อพวกเขาพบว่า ลูกชายอายุ 3 ปีแล้ว ยังไม่เคยพูดสักคำเลย พวกเขาเริ่มรู้สึกกังวลว่าเด็กอาจจะเป็นคนใบ้
ดังนั้นพวกเขาจึงพาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาลหลายแห่งในเมือง แต่ผลตรวจทุกครั้งก็เหมือนเดิม เด็กชายมีสุขภาพดี ระบบการได้ยินและตัวชี้วัดอื่น ๆ ก็ปกติ ไม่มีข้อบ่งชี้ว่ามีปัญหา
แพทย์อธิบายว่า เด็กบางคนอาจพูดช้ากว่าปกติ และไม่ควรรีบร้อน
ประโยคแรกที่เขาพูดในกลางดึก ทำให้พ่อแม่ตกใจจนขนลุก
ผ่านไปอีกครึ่งปี สถานการณ์ของเด็กชายก็ยังเหมือนเดิม
แม้พ่อแม่จะพยายามกระตุ้นให้เขาพูด โดยการเปิดเพลงเด็กเล็ก เล่าเรื่องราว พูดคุย และฝึกการฟัง แต่เขาก็ยังไม่พูดคำไหนเลย
วันหนึ่งเมื่อเด็กชายอายุครบ 4 ปี ดูเด็กคนอื่นๆ ที่ไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว ขณะที่ลูกชายของตนยังไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่
เฉิน เซียวหลาน และสามีเริ่มรู้สึกวิตกและตัดสินใจว่าจะพาลูกไปที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงปักกิ่งในวันรุ่งขึ้น เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
คืนนั้น เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงคืน พวกเขายังไม่ได้นอนและกำลังพูดคุยเกี่ยวกับแผนการวันถัดไปอยู่
จู่ ๆ เด็กชายก็วิ่งออกมาจากห้องของเขาพร้อมกับร้องไห้เหมือนเจอฝันร้าย ไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้
เฉิน เซียวหลาน อุ้มเขาไว้และพยายามปลอบโยนเขา เพื่อให้ลูกชายกลับไปนอนหลับอีกครั้ง แต่ในวินาทีถัดมา เด็กชายกลับเริ่มพูดออกมา
เขาพูดว่า “แม่ครับ ในห้องของผมมีเสียงดัง”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินลูกชายพูด และยังพูดประโยคยาว ๆ อีกด้วย พ่อแม่รู้สึกตกใจและดีใจพร้อมกัน เฉิน เซียวหลาน ก็กอดหัวลูกชายและมองเขาด้วยความทึ่ง
แต่ความดีใจไม่ได้นาน เพราะพวกเขากังวลอีกครั้ง ห้องของลูกมีการปิดผนึกและกันเสียงได้ดีมาก ทำไมถึงมีเสียงพูดได้ล่ะ?
หลังจากตรวจสอบและยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะลูกชายฝันร้ายและพูดมั่ว ๆ จึงไม่ได้สนใจ
เนื่องจากลูกชายเริ่มพูดได้ตามปกติ แผนการการเดินทางไปกรุงปักกิ่งก็ถูกยกเลิก
แต่ในอีกไม่กี่คืนถัดมา เด็กชายมักจะตื่นกลางดึก ร้องไห้และเรียกหาพ่อแม่ บอกพวกเขาว่ามีคนพูดในห้องของเขา
เขายังบรรยายรายละเอียดมากขึ้น ว่าเสียงมาจากใต้ดิน และเป็นเสียงของคุณลุงคนหนึ่ง
แม้พ่อแม่จะไม่เชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเด็ก ๆ บางคนมี “ดวงตาที่สาม” สามารถเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เห็นจริง ๆ หรือเปล่า?
พ่อแม่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและนอนกับลูกชาย แต่ทุกอย่างดูปกติ แต่เด็กชายยังคงยืนยันว่าเสียงมาจากใต้ดิน
เพื่อความปลอดภัยและให้ลูกมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น เฉิน เซียวหลาน จึงตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเดิม และเช่าบ้านเดี่ยวในเขตชานเมืองเพื่อให้ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่นั่น
“พลังพิเศษ” ดึงดูดความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ
หลังจากการย้ายบ้านแล้ว ปัญหาเงียบลงสักระยะหนึ่ง เด็กชายไม่แสดงความหวาดกลัวว่า มีคนพูดจากใต้บ้านอีกแล้ว แต่พวกเขาพบว่าเด็กชายมีความสามารถในการรู้ล่วงหน้า
เหตุการณ์เล็ก ๆ หลายอย่างยืนยันว่า เด็กชายสามารถคาดการณ์เวลาที่พ่อของเขาจะกลับบ้านได้อย่างแม่นยำ พ่อของเขาทำธุรกิจและเวลาเลิกงานไม่แน่นอน แต่ทุกครั้งที่พ่อใกล้กลับบ้าน เด็กชายสามารถรับรู้ได้ล่วงหน้า
เริ่มแรกเด็กชายบอกแม่ว่า พ่อกำลังจะกลับบ้าน ซึ่งผู้เป็นแม่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อเห็นสามีเปิดประตูเข้ามา เธอก็รู้สึกตกใจ
เมื่อพ่อแม่ถามเขาว่าเขารู้ได้อย่างไร เด็กชายบอกว่าเขาสามารถได้ยินเสียงก้าวเท้าของพ่อ
อาจจะเป็นไปได้ว่าเขามีพลังพิเศษ เพื่อทดสอบ เฉิน เซียวหลาน จึงให้ลูกชายทำนายว่าพ่อจะนั่งรถเมล์สายไหนกลับบ้าน ซึ่งเขาก็สามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่าพ่อจะนั่งรถเมล์สายไหน
ข่าวเกี่ยวกับพลังพิเศษของเด็กชายแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และทีมงานจากรายการโทรทัศน์ยังได้เชิญเขาไปที่สตูดิโอเพื่อทำการทดสอบการแสดงความสามารถ
เด็กชายได้แสดงความสามารถพิเศษของเขาบนเวที เรื่องการฟังเสียงและบอกหมายเลข ซึ่งแม้จะอยู่ห่างกันคนละห้อง เขาก็สามารถพูดอย่างมั่นใจว่าเบอร์โทรศัพท์ที่คนในห้องนั้นกดคือหมายเลขอะไร และเป็นใครที่กดโทรศัพท์
ผู้ชมทั่วประเทศต่างทึ่งในพลังพิเศษของเขา และเรียกเขาว่าเป็นอัจฉริยะ
การแสดงที่น่าทึ่งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการตกใจ พวกเขาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดในด้านหู จมูก และคอ พบว่าโครงสร้างหูของเขาปกติ แต่ความสามารถในการฟังของเขานั้นแตกต่างจากคนทั่วไป
การตรวจสอบพบว่า ปี่ เจียรุ่ย มีความไวต่อเสียงสูงมาก เขาสามารถได้ยินเสียงที่อยู่นอกขอบเขตการได้ยินปกติของคนทั่วไป แม้แต่เสียงที่เบาเกือบจะเป็นศูนย์เดซิเบลจากระยะหลายร้อยเมตร
เขาสามารถแยกแยะเสียงรอบข้างได้อย่างแม่นยำ และจับเสียงที่ละเอียดอ่อนที่แทบจะไม่สามารถได้ยินได้ และมีความสามารถในการจำที่ยอดเยี่ยม สามารถบันทึกความแตกต่างเล็ก ๆ ในเสียงได้
สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงพูดได้ช้า และทำไมเขาจึงอ้างว่าได้ยินเสียงพูดจากใต้ดินในบ้านเก่าของเขา
กรณีแรกเกิดจากการที่เขาได้รับข้อมูลจำนวนมากเกินไปก่อนอายุ 3 ขวบ และเมื่อยังเด็ก เขาจึงไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ข้อมูลได้ดีพอ ซึ่งส่งผลให้เกิดอุปสรรคด้านภาษา
กรณีที่สองเกิดจากการที่เขามีการฟังที่ไวมาก และบ้านที่เขาเคยอยู่ห่างจากที่จอดรถใต้ดินไม่ถึงร้อยเมตร เขาจึงได้ยินเสียงพูดที่มาจากที่นั่น
เกิดอะไรขึ้นต่อไป? การที่ลูกชายมี “พลังพิเศษ” นี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี
คู่สามีภรรยาไม่ได้นำความสามารถของลุกชายไปพูดอวดโอ้ หรือทำให้ลูกเกิดความหลงตัวเอง แต่พวกเขาได้นำความสามารถนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการพัฒนาและเข้าใจดนตรี โดยการขุดค้นและขยายศักยภาพของลูกชาย
ภายใต้การแนะนำของพ่อแม่ ปี่ เจียรุ่ย เริ่มต้นการเดินทางทางดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เรียนเปียโนตั้งแต่ชั้นประถมและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงได้แสดงความสามารถในงานแข่งขันเปียโนหลายครั้งและได้รับรางวัลมากมาย
ปัจจุบัน ปี่ เจียรุ่ย อายุ 20 ปีแล้ว และกลายเป็นเยาวชนที่มีความเป็นศิลปิน และความรู้ทางวิชาการอย่างเต็มเปี่ยม เขายังได้แสดงความสามารถอันโดดเด่นในเทศกาลดนตรีนานาชาติ
เรื่องราวของเขาคือกรณีศึกษาแห่งความสำเร็จในการศึกษา พ่อแม่ได้ค้นพบพรสวรรค์ของลูก และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทำให้ลูกมีความสามารถโดดเด่นและก้าวหน้าไปในทางที่รุ่งโรจน์ เคสนี้อาจเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับพ่อแม่ในการเรียนรู้และนำไปปฏิบัติตาม