สาวรีวิวทำขนมเปี๊ยะเจ้าดังขาย รายได้วันละ 70,000 แต่เจ๊งใน 3 เดือน เพราะอะไร

Home » สาวรีวิวทำขนมเปี๊ยะเจ้าดังขาย รายได้วันละ 70,000 แต่เจ๊งใน 3 เดือน เพราะอะไร
สาวรีวิวทำขนมเปี๊ยะเจ้าดังขาย รายได้วันละ 70,000 แต่เจ๊งใน 3 เดือน เพราะอะไร

สาวเผยประสบการณ์ ทำขนมเปี๊ยะขาย จากรายได้วันละ 70,000 บาท กลายเป็นเจ๊งใน 3 เดือน คนในแวดวงอาหารชี้ พลาดตรงไหน

ผู้ใช้ชื่อว่า เล็บสั้น ได้โพสต์ลงเว็บไซต์ Pantip.com รีวิวการทำธุรกิจ ขายขนมเปี๊ยะ ซึ่งช่วงแรกขายดีได้ถึงวันละ 70,000 บาท ก่อนที่จะเจ๊งใน 3 เดือน ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร

เจ้าของกระทู้ เผยว่า ก่อนหน้านี้เธอเปิดร้านทำเล็บ เสริมสวย สักคิ้ว จนกระทั่งปี 2563 ซึ่งตรงกับช่วงโควิด ทาง กทม. สั่งปิดร้านเสริมสวย ในช่วงเดือนแรกก็พอไหว แต่ต่อไปเหมือนจะไม่รอด เธอจึงตัดสินใจเปิดร้านทำขนมเปี๊ยะเพื่อพยุงร้านให้รอด พาทั้งตนเองและเลี้ยงลูกน้องอีกหลายชีวิตฝ่าวิกฤต เมื่อทดลองสูตรได้สำเร็จก็นำออกขาย

เธอเอาขนมเปี๊ยะไปขายตามตลาดนัด ตามตึก ในช่วงแรก ๆ ก็อายเพราะไม่เคยขายของตลาดนัด และชอบมาเจอคนรู้จัก เขาก็ช่วยซื้อ จากนั้นขนมเปี๊ยะของเธอเริ่มเป็นที่รู้จัก คนพูดกันปากต่อปาก จนขายดีขึ้น และให้ลูกน้องที่ร้านเสริมสวยมาขายด้วยกัน ลูกน้องแม้จะอายที่มาขายของร้านตลาดนัด แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยขายของเพื่อรอเวลากลับไปเปิดร้านเสริมสวยอีกครั้ง

จากนั้นสถานการณ์โควิดยังไม่จบ เธอก็เริ่มเพิ่มสินค้า ทำขนมเปี๊ยะลาวา ขนมเปี๊ยะเจ ทำขนมเปี๊ยะไส้ต่าง ๆ จนทำให้ขายดีมาก รายได้ถึงวันละ 20,000-70,000 บาท จนทำกันไม่หลับไม่นอน โหมซื้ออุปกรณ์มาเพิ่มเพราะคิดว่าคราวนี้รวยแน่ ลูกน้องก็เปลี่ยนจากช่างทำเล็บ ช่างต่อขนตา มาขายของหมด และเธอยังได้ไปออกบูธตามห้างสรรพสินค้า ขายดีเทน้ำเทท่าเข้าไปอีก

 

อย่างไรก็ตาม ขนมเปี๊ยะของเธอมีราคาค่อนข้างสูงถึงกล่องละ 95 บาท และสิ่งที่เธอลืมคิดไป เหตุที่ขายดีในตอนนั้น เพราะมีโครงการคนละครึ่ง พอหมดโครงการ รายได้เหลือวันละ 15,000 บาท ค่าเช่าบูธแต่ละที่ก็วันละ 3,000-7,500 บาท และถ้าราคาเต็มจริง ๆ จะขายไม่ได้

ทำให้จากที่ไปออกบูธตามห้างหลายที่ ก็เหลือแค่ 2 ที่ คือ ที่ไอคอนสยาม วันละ 3,000 บาท และเซ็นทรัลพระราม 2 วันละ 2,800 บาท ค่าแรงคนขายวันละ 1,000 บาท แต่ขายได้ 2 ที่รวมกันแค่ 20,000 บาท ไม่รวมต้นทุนทำขนม และหากขนมขายไม่หมดก็ต้องทิ้ง

ในขณะที่ค่าเช่าที่อย่างเดียวรวมค่าลูกน้องก็เกือบหมื่น ส่วนการเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์นั้น เธอก็นำขนมไปขายทางออนไลน์เช่นกัน ทุกแอปพลิเคชัน แต่ขายได้ไม่ทุกวัน เพราะขนมไม่ใส่สารกันบูด

เรื่องนี้ทำให้เธอได้ประสบการณ์ในการคำนวณต้นทุน ซึ่งต้องมีกำไรอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากแป้ง น้ำมันพืช ขึ้นราคาเรื่อย ๆ แต่ราคาขนมจะขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ และยังมีค่าลูกน้องและค่าแรงตัวเองอีก

สุดท้าย เธอทนขาดทุนได้ 3 เดือน ก็ตัดสินใจปิดกิจการลง แต่ที่ยังเหลือคืออุปกรณ์ทำขนมที่ใหม่มาก ใช้ได้ไม่ถึง 2 ปี และสูตรทำขนม

หลังจากนั้น เธอก็กลับมาทำร้านเสริมสวยเหมือนเดิม แต่ปรากฏว่าลูกน้องออกไป 3 คนเพราะเธอไปบังคับให้ลูกน้องมาขายขนม ดังนั้น ไม่ว่าร้านหรือธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ ต้องอย่าลืมสื่อสารกันด้วย

 

หลังจากกระทู้ของเธอถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีคนมาให้กำลังใจมากมาย และมองว่านี่คือประสบการณ์ชีวิตที่ล้ำค่า เพราะขนมกับร้านเสริมสวยคือคนละตัว คนละอาชีพ ถือเป็นการเรียนรู้

ในขณะที่บางคนก็บอกว่า ค่าเช่าที่ค่อนข้างแพงเกินไปสำหรับการขายของ ซึ่งเธอก็มาตอบว่าในตอนนั้นแค่วันละ 2,800-3,500 บาท แต่ในตอนนี้ค่าเช่าที่ตามห้างคือขึ้นไปถึงวันละ 3,500 บาทแล้ว

ขณะที่คนในแวดวงการทำร้านอาหารก็มาบอกถึงเคล็ดลับการไปให้รอดในธุรกิจนี้ ดังนี้

  • ถ้าค่าเช่าสูง ตั้งราคา 3 เท่าไม่พอ ต้องตั้งราคา 3-3.5 เท่า โดยคูณราคาคละเมนูกันไป
  • ยิ่งเมนูเยอะ ยิ่งได้กำไรยาก ถ้าเป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ควรมีเมนูเกิน 10-12 อย่าง เน้นแค่ทำตัวที่อร่อยที่สุดและขายดีจริง
  • คนที่ทำอาหารกับเบเกอรี่และอยู่ได้ยาว จะเห็นว่ามักมีคนในครอบครัวอยู่ในแวดวงนี้มาก่อน
  • ตนทำธุรกิจ 2 อย่างคือ เปิดโรงเรียนสอนพิเศษ และทำร้านอาหาร กล้าบอกเลยว่า ทำโรงเรียนสบายและรวยง่ายกว่าเยอะ

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ