พ่อร่ำไห้ แชร์อุทาหรณ์ไปรับลูกช้า 20 นาที ทำให้เสียใจมา 9 ปี และเป็นหนี้เงินล้าน แต่ตอนจบคุ้มค่า
เหตุการณ์เริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2548 เด็กหญิงอายุ 6 ขวบ เพิ่งเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สะพายกระเป๋านักเรียนใบเล็ก ขณะที่แม่ของเธอพาไปส่งที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองซีอาน ประเทศจีน โดยแม่ไม่ลืมย้ำกับลูกสาวว่า “อย่าวิ่งเล่นหลังเลิกเรียน ต้องรอให้แม่มารับอย่างเชื่อฟัง!” ได้รับคำตอบมาว่า “หนูรู้!”แล้ววิ่งเข้าไปในห้องเรียน
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนของเด็กหญิง ในตอนนั้นผู้เป็นแม่ยุ่งๆ และมาถึงโรงเรียนสายไปกว่า 20 นาที ครูบอกว่าเด็กกลับบ้านคนเดียวเพราะทนรอแม่ไม่ไหว หลังจากได้ยินเธอรีบโทรหาสามีเพื่อถามว่าลูกกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง? และสุดท้ายก็ต้องระดมญาติและเพื่อนๆ ออกตามหาลูกสาวที่หายไป โดยหวังว่าเพียงแค่เล่นสนุกอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ไกลจากบ้าน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหาลูกสาวของพวกเขาพบ…
พวกเขาตัดสินใจแจ้งตำรวจในพื้นที่ให้ช่วยเหลือ ในขณะที่สามีภรรยาก็เดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงเพื่อตามหาลูกสาว ไม่ละความพยายามแม้จะไม่เคยพบร่องรอยใดๆ ในปี พ.ศ. 2553 ถึงกับปรับปรุงรถบรรทุกสำหรับตามหาลูกสาวโดยเฉพาะ และออกเดินทางไปตามท้องถนนในประเทศจีน แต่หลังจากผ่านไปหลายปีก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ ในขณะที่หนี้สินเพิ่มสูงขึ้นถึง 200,000 หยวน (ประมาณ 1 ล้านบาท ตามค่าแลกเปลี่ยนเงินในปัจจุบัน) ถึงกระนั้น เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่ยอมแพ้ โดยยังคงศรัทธาอยู่เสมอว่าลูกสาวของเขาจะกลับมา
- ลูกสาวหายไปไหน?
ในความเป็นจริงหลังจากที่เด็กหญิงขออนุญาตครูเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์เธอได้พบกับหญิงวัยกลางคน ที่เข้ามาบอกว่า “ฉันเป็นเพื่อนแม่เธอ วันนี้แม่มีงานทำจึงมารับไม่ได้ ก็เลยขอให้ฉันมารับแทน ลุกขึ้นสิฉันจะพากลับบ้าน” เด็กหญิงเชื่อเพราะคิดว่าแม่คงยุ่งอยู่กับการดูแลน้อง จึงเดินตามหญิงแปลกหน้าไปขึ้นรถบัส ก่อนถูกนำตัวข้ามไปอีกเมืองหนึ่ง เพื่ออาศัยอยู่กับหญิงคนดังกล่าวและสามีของเธอ ถูกบังคับให้เรียกทั้งคู่ว่าพ่อ-แม่
แต่ในปี พ.ศ. 2551 ความสัมพันธ์สามีภรรยาคู่นี้ก็พังลง ฝ่ายสามีออกไปจากบ้าน และภรรยาก็ไม่มีเงินใช้ จึงตัดสินใจขายเด็กให้ไปเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวอื่น ในราคา 10,000 หยวน (ประมาณ 5 หมื่นบาท ตามค่าแลกเปลี่ยนเงินในปัจจุบัน) ทำให้เธอต้องย้ายไปอาศัยอยู่ที่เฉิงตูกับพ่อแม่บุญธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามเก็บออมเงินและวางแผนตามหาพ่อแม่แท้ๆ
ในปี พ.ศ.2552 เธอเก็บเงินได้ 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท ตามค่าแลกเปลี่ยนเงินในปัจจุบัน) แต่เนื่องจากเธอยังเด็กเกินไป และกังวลว่าจะไม่พบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่อาจพบกับคนไม่ดีแทน เธอจึงยอมแพ้ชั่วคราว ตั้งใจจะรอให้โตขึ้นและเก็บเงินได้มากขึ้น ก่อนที่จะออกเดินทางค้นหาพ่อแม่อีกครั้ง
เวลาผ่านไปพ่อแม่บุญธรรมก็เริ่มไว้วางใจเธอ ผ่อนคลายการระมัดระวังว่าเธอจะหนีไป และยังซื้อโทรศัพท์มือถือให้เธออีกด้วย เธอจึงใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ จนกระทั่งได้ทราบเบาะแสว่ามีสามีภรรยากำลังตามหาลูกสาว ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นเธอ แต่เธอยังคงไม่ไว้วางใจเพราะเคยถูกหลอกลวงมาหลายครั้ง กระทั่งอีกฝ่ายได้ส่งหลักฐานยืนยันเป็นภาพต่างๆ มาให้ พร้อมทั้งข้อมูลติดต่อกับสามีภรรยาคู่ดังกล่าวด้วย
กระทั่งเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2558 คู่สามีภรรยาได้เดินทางไปที่ตลาดแห่งหนึ่งในเฉิงตู ตามแผนที่ซึ่งเด็กสาววาดส่งมาให้ เมื่อเดินผ่านร้านขายของชำก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เพียงมองแวบเดียวพวกเขาก็แน่ใจว่านี่คือลูกสาวที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ฝ่ายเด็กสาวก็อ้างกับพ่อแม่บุญธรรมว่าจะออกไปซื้อของ แต่แท้จริงพวกเขาได้แอบติดต่อกับตำรวจ และนำตัวอย่างเลือดไปตรวจ DNA
สุดท้ายแล้วผลการเปรียบเทียบ DNA ยืนยันว่าเด็กสาวเป็นลูกแท้ๆ ที่คู่สามีภรยาตามหามาอย่างยาวนานจริงๆ พวกเขาต่างร้องไห้ออกมาเมื่อในที่สุดสมาชิกของครอครัวก็กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถตามจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวได้ แน่นอนว่าผู้ค้ามนุษย์ถูกกฎหมายลงโทษอย่างรุนแรง