“ไอติม” เชื่อโหวต “พิธา” ฉลุยนั่งนายกฯ จบยกแรก ขอแค่ ส.ว. โหวตตามหลักการประชาธิปไตย ฟังเสียงข้างมากจาก ส.ส.ที่ประชาชนเลือกเข้ามา ยืนยันไม่ลดเงื่อนไขที่หาเสียงเอาไว้ และเป็นสิทธิของ ปชช.ลงถนนหากไม่พอใจผล
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจากับ สว. เพื่อโหวตให้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ในการประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 13 ก.ค.นี้ ว่า ขณะนี้มีการเตรียมการ 2 ส่วน คือ การเตรียมการในเรื่องการลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เราก็พยายามสื่อสารกับประชาชน และสว.เป็นวงกว้างให้มากที่สุด
ซึ่งยังยืนยันหลักการเดิมว่า เราคาดหวังให้ สว.ลงมติให้กับนายพิธา ไม่ใช่ว่าต้องชอบนายพิธา หรือชอบพรรคก้าวไกลเป็นการส่วนตัว แต่ในฐานะของแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุด และรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ตามครรลองประชาธิปไตย และเชื่อว่าจะมี สว.จำนวนเพียงพอที่จะลงมติตามหลักการนั้น
และหากนายพิธาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม ตามเอ็มโอยูที่ได้ทำร่วมกัน ซึ่งโจทย์ที่สำคัญกว่าคือการเตรียมความพร้อมบริหารประเทศ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เราได้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผังกลไกในฝ่ายบริหาร และตั้งคณะทำงาน เพื่อผสมผสานนโยบายของทั้ง 8 พรรค ขับเคลื่อนการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงฝ่ายนิติบัญญัติที่ทางพรรคก้าวไกล ได้เตรียมชุดกฎหมายที่เราได้สื่อสารกับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนกรณีที่ สว.บางส่วนกลับลำไม่โหวตให้กับพรรคก้าวไกล ตรงนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า จะมีจำนวน สว.เท่าไหร่เดี๋ยวก็รู้ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ตนไม่อยากให้ตื่นตระหนกต่อความเห็นของ สว.บางคนมากเกินไป ด้วย 2 เหตุผล คือ มี สว.ที่ออกมาแสดงความเห็นหลากหลายมาก ทั้งที่สนับสนุน ไม่สนับสนุน และสงวนท่าที แต่เมื่อรวบรวมจำนวน สว.ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยมาก คงไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขจากความเห็นของคนไม่กี่คนได้
และการที่ขอให้ สว.มาโหวตให้กับนายพิธา ไม่ได้อยู่ในฐานคิดว่า สว.ต้องเห็นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล หรือคิดว่าพรรคก้าวไกล ตอบโจทย์ของประเทศมากที่สุด เราเพียงขอแค่ว่าให้โหวตตามหลักการประชาธิปไตย คือหากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องให้ความเห็นชอบตามนั้น เราขอแค่ให้มี สว.เพียงพอที่เคารพหลักการแค่นั้นพอ
ส่วนการประชุมพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมในวันที่ 11 ก.ค.นี้ จะมีการพูดคุยอะไรบ้าง นายพริษฐ์ ระบุว่า เป็นการประชุมตามสัปดาห์ตามปกติ เพราะเมื่อสภาฯ เปิดสมัยประชุม ก็ต้องมีการประสานงานกัน ส่วนเรื่องการโหวตนายพิธาก็เป็นสิ่งที่เราได้ข้อตกลงกันตั้งแต่วันที่มีการเซ็นต์เอ็มโอยูฉบับแรก ก็คงไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน
ส่วนหากการโหวตครั้งแรก และครั้งที่ 2 นายพิธา ยังไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีการเปลี่ยนตัวเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า โดยหลักการตามประชาธิปไตย ครั้งเดียวก็ควรจบ ยิ่งเป็นแคนดิเดตจากพรรคการเมืองที่ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน และรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่ง เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน ที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งก็จะมีรัฐบาลที่มีเสียงส.ส.ประมาณ 312 เสียง และฝ่ายค้าน 188 เสียง ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผ่านไป 4 ปี ประชาชนก็จะตัดสินผลงานผ่านการเลือกตั้งอีกครั้ง
ส่วนหากรวบรวมเสียงได้ไม่ถึง 376 เสียง จะทำอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคาดการไปถึงตรงนั้น เรายังมี่ความเชื่อมั่นและคาดหวังว่า สว.จะมีเยอะเพียงพอ ที่เคารพเสียงข้างมากของส.ส.
เมื่อถามว่าถ้าโหวตนายกรัฐมนตรีไม่ได้หลายครั้งควรเปลี่ยนรายชื่อหรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวย้ำว่า เราอย่าเพิ่งไปคาดการณ์อนาคต เพราะเชื่อมั่นและคาดหวังว่าโหวตครั้งเดียวจะจบ เพราะในมุมของพรรคก้าวไกลให้ความชัดเจนมากใน 2 ส่วน คือ 1.เรื่องจำนวนเสียงซึ่งมี 312 เสียง ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ไปพอสมควร และ 2.ความชัดเจนในเรื่องของรัฐบาล 8 พรรคที่จะร่วมขับเคลื่อนด้วยกัน อย่างน้อยก็มีการระบุอยู่ใน MOU ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราจะจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและเอกภาพได้ และคาดหวังว่า สว.จะโหวตตามเสียงข้างมากของ ส.ส.
ส่วนเป็นห่วงหรือไม่ว่าเสียงโหวตไม่เป็นที่พอใจของประชาชน แล้วจะเกิดการชุมนุมทางการเมืองในอนาคต นายพริษฐ์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของประชาชน เพราะไม่ใช่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนเลือก 7 พรรคร่วม และพรรคการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในนี้ด้วย และอาจมีสถานะเป็นฝ่ายค้าน ก็คาดหวังว่าเมื่อเขาได้ออกไปแสดงความเห็น 1 สิทธิ 1 เสียงแล้ว การบริหารจัดตั้งรัฐบาล และบริหารงานก็เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย เคารพ 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชน
ฉะนั้น หากการโหวตนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่เคารพ 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชน ตนคิดว่าความไม่พอใจคงไม่จำกัดอยู่ที่พรรคก้าวไกล แต่จะเป็นประชาชนที่สนับสนุนหลักการประชาธิปไตยทั้งหมด
เมื่อถามว่ามีสัญญาณดีจากพรรคอื่นที่จะโหวตให้โดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าเราอยู่ในระบบรัฐสภาที่เป็นปกติก็ไม่ได้คาดหวังว่าฝ่ายค้านจะมายกมือให้ซีกรัฐบาล แต่เมื่อเราอยู่ในระบบที่ไม่ได้เป็นไปตามกลไกปกติ เราก็จะขอบคุณอย่างยิ่งถ้ามี ส.ส.ที่ไม่ได้อยู่ใน 8 พรรค และมีสถานะเป็นฝ่ายค้านมายกมือให้นายพิธาในรอบนี้เป็นพิเศษ เพื่อยืนยันหลักการ 1 สิทธิ 1 เสียงในการเลือกตั้ง
ส่วนขณะนี้พรรคก้าวไกลยังมั่นใจในเสียง สว.พลังเงียบอยู่ใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ ระบุว่า เราคาดหวังว่าจะมีเสียง สว.เยอะเพียงพอที่สนับสนุนหลักการนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากของ ส.ส. ส่วนตัวเลขจะเป็นอย่างไร วันที่ 13 ก.ค.ก็รู้กัน พร้อมย้ำว่ายังเชื่อมั่นว่า สว.จะอยากเห็นประเทศเดินหน้าตามเจตจำนงของประชาชนที่แสดงออกมาผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีเพียงพอ
ส่วนกรณีที่ปลายสัปดาห์นี้ นายพิธา จะเดินสายลงพื้นที่ถือเป็นเรื่องปกติของคนที่ประสงค์จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกับประชาชนในวงกว้างที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมในการเดินหน้าบริหารประเทศ
เมื่อถามย้ำว่าพรรคก้าวไกลจะยอมลดเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้สว.โหวตสนับสนุนหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวย้ำว่า ไม่มีการลดวาระที่เราจะขับเคลื่อน เพราะเราถือว่าสิ่งที่เราต้องการจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง พิจารณาจากปัญหาประเทศที่เป็นอยู่ และเชื่อว่าจะตอบโจทย์ประเทศในอนาคตได้ดีที่สุด ซึ่งเราก็สื่อสารนโยบายก่อนการเลือกตั้ง และเมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจกับเราในวาระที่เสนอไป มันก็เป็นความรับผิดชอบ และหน้าที่ที่ต้องขับเคลื่อนวาระที่เสนอกับประชาชนไปแล้ว
พร้อมหวังว่า สว.ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ก็อยากเห็นนักการเมืองที่รักษาคำพูดของตัวเอง ฉะนั้นหวังว่าสว.จะไม่ใช้อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ตนเองมีจาก มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ มาเป็นเงื่อนไขพยายามให้เราเปลี่ยนวาระจากที่เราได้สื่อสารกับประชาชน พร้อมย้ำยังหวังว่า สว.จะอยากเห็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่รักษาคำพูดของตัวเอง