“ขวาร้าย ซ้ายดี” เป็นความคิดของคนที่เกิดอาการ “ตากระตุก” กระตุกทีไรจะรีบเช็กทันทีว่าตากระตุกข้างซ้าย หรือข้างขวา เพราะเราเชื่อกันแบบนั้น แต่จริงๆ แล้ว อาการตากระตุกเกิดจากอะไร แล้วหากเกิดอาการตากระตุกบ่อยๆ จะอันตรายหรือไม่
ตากระตุก เกิดจากอะไร
นพ. นนท์ รัตนิน จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลจักษุรัตนิน ระบุว่า อาการตากระตุก เกิดจากกระแสประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณรอบดวงตามากผิดปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
อาการตากระตุกมีความรุนแรงตั้งแต่ตากระตุกเล็กน้อย ไม่นานก็หายได้เอง ไปจนถึงตากระตุกจนตาปิด รวมไปถึงอาการตาเขม่น ที่เป็นอาการหนังตา หรือเปลือกตากระตุก เป็นได้ทั้งเปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง
ปัจจัยเสี่ยงของอาการตากระตุก
- ดวงตาอ่อนล้าจากการใช้งานดวงตาหนัก เช่น จ้องจอคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานๆ
- ความเครียด ความกังวล
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก
- อาการข้างเคียงของโรคลมชัก
ตากระตุกแบบไหน ถึงไม่ปกติ
โดยทั่วไปแล้วหากเกิดอาการตากระตุก ไม่ว่าจะเป็นด้านขวา หรือซ้าย ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงหรืออันตรายใดๆ แต่หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์
- ตากระตุกติดต่อกันทุกวันเกิน 1 สัปดาห์
- มีอาการกระตุกที่บริเวณอื่นด้วย เช่น มุมปาก
- ตากระตุกพร้อมกันทั้งสองข้าง
- ตากระตุกแรงมากจนตาปิด รบกวนการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน
- มีอาการผิดปกติที่ตาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตาบวม ตาแดง มีขี้ตามาก เป็นต้น
วิธีหลีกเลี่ยงอาการตากระตุก
ตามปกติแล้วอาการตากระตุกไม่อันตราย และสามารถหายได้เอง แต่หากไม่อยากมีอาการตากระตุก สามารถทำได้ดังนี้
- ลดการใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้น้อยลง หากมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดังกล่าว ควรพักสายตาราว 5-10 นาที ระหว่างการใช้งานทุกๆ 30 นาที – 1 ชั่วโมง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- พยายามทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด หรือกังวลจนเกินไป
- ลดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนให้น้อยลง
- นายแพทย์สมาน ตั้งอรุณศิลป์ ระบุว่า หากตากระตุกหนักมาก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดแยกเส้นเลือดออกจากเส้นประสาท ไม่ใช่วิธีรักษาให้หายขาด แต่เป็นการช่วยบรรเทาอาการตากระตุกให้น้อยลง หรือเบาลงได้