อาหารอีสานยอดฮิตตจะมีอะไรแซ่บถูกใจคนส่วนใหญ่ไปมากกว่าเมนู “ส้มตำ” แต่คราวนี้มาเปลี่ยนวัตถุดิบจากมะละกอมาเป็น “ไหลบัว” กันบ้าง ไหลบัวที่ว่าบ้างเรียก “หลดบัว” มักพบในอาหารภาคกลาง นิยมนำมาทำเมนูยำไหลบัว แกงส้มไหลบัว รวมถึงผัดไหลบัวกุ้งสด
ไหลบัวแตกต่างจาก “สายบัว” นะคะ หลายคนอาจยังงง ๆ กล่าวคือ ไหลบัวเป็นส่วนหน่อของดอกบัวที่กำลังงอกออกมาเพื่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ มีลักษณะก้านยาว สีขาวนวล แม่ค้านิยมมัดรวมหรือขดพันเป็นวง ส่วนสายบัวคือก้านของดอกบัวสาย สีออกน้ำตาล เวลานำมากินต้องลอกเปลือกนอกออกก่อน
ลักษณะพิเศษของไหลบัวอย่างหนึ่งคือ กดแล้วจะไม่ยุบตัวเหมือนสายบัวที่เปราะกว่า จึงมีความกรุบกรอบซึมซับรสชาติเครื่องปรุงได้อย่างดี ทั้งมีสรรพคุณมากมาย นับเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในกาย แก้อ่อนเพลียและบำรุงหัวใจ ช่วยลดความเครียดทางสมอง ลดอาการเกร็งของลำไส้และกระเพาะมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยแก้โรคท้องผูกได้ด้วยค่ะ
พรรณนาเสียยืดยาว ถึงคราววิธีทำส้มตำไหลบัวสักที ก่อนอื่นมาเตรียมไหลบัวก่อนปรุงอาหารกันก่อนค่ะ
การเลือกไหลบัว
ไหลบัวควรเลือกที่อ่อนเนื้อกรอบหวานหักง่ายไม่เหนียว ถ้าแก่เกินไปจะเหนียวเคี้ยวไม่อร่อย ให้เลือกส่วนที่แก่ทิ้งไปนะคะ ล้างให้สะอาดแล้วหักหรือหั่นเป็นท่อนไว้ อาจแช่น้ำผสมเกลือเล็กน้อย เพื่อช่วยรักษาสีของไหลบัวให้ไม่ดำคล้ำไม่น่ารับประทานค่ะ
วัตถุดิบส้มตำไหลบัว
- ไหลบัว 200 กรัม
- กระเทียมไทย 10 กลีบ
- พริกขี้หนูสวน 5-7 เม็ด
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- แครอทขูด มะเขือเทศ กุ้งแห้ง ถั่วลิสงคั่ว ตามชอบ
วิธีทำส้มตำไหลบัว
โขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกันก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยถั่วฝักยาว กุ้งแห้ง และถั่วลิงสง ตำต่อให้พอแหลก จากนั้นปรุงรสด้วยมะนาว น้ำตาลปี๊ปและน้ำมะนาว ตำ ๆ บด ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน ใครชอบนัว ๆ อยากใส่ผงนัวหรือผงชูรสก็ได้
ปรุงเสร็จจึงตามตัววัคถุดิบเนื้ออ่อน อย่าใส่ก่อนเพราะเดี๋ยวจะเละไม่น่ารับประทาน จึงค่อยใส่ไหลบัวตาม ต่อด้วยแครอท มะเขือเทศ
ใส่ไหลบัวแล้วไม่ต้องลงแรงตำ แค่พอกด ๆ เบา ๆ ด้วยสากกระเบือ ถ้าแรงเหลือให้ใช้ทัพพีคนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
เสร็จแล้วตักใส่จานกินแกล้มกับผักสดหรือจกกับข้าวเหนียว ใครชอบรสหวานเน้นรสเผ็ดก็เพิ่มส่วนผสม หรือถ้าดอมดมกลิ่นแล้วอยากแซ่บเพิ่มให้ลองเติมวัตถุดิบเปลี่ยนถั่วลิสงเป็นต่อนปลาร้า อึ้มมมมม น้ำลายสอแล้วเด้อ