ในที่สุดพรรคการเมืองที่พรรคก้าวไกลเป็นผู้รวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ล่าสุดมีทั้งหมดเพียง 8 พรรค มีเสียงสมาชิกสภาผู้แทนฯ จำนวนทั้งสิ้น 313 คน
ได้แก่ พรรคก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง เสรีรวมไทย เป็นธรรม และพลังสังคมใหม่ พรรคละ 1 เสียง
ก่อนหน้านี้ พรรคก้าวไกลทาบทามพรรคใหม่ 1 เสียง และชาติพัฒนากล้า 2 เสียงมาเข้าร่วม แต่ได้รับความกดดันจากโซเชี่ยลมีเดียจนต้องล้มเลิกไป เพราะพลังการปฏิเสธของประชาชน
เนื่องจากสองพรรคการเมืองดังกล่าว บางพรรคมีผู้นำคนใหม่มีจุดยืนที่เคยแสดงออกว่าเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนการสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ต้องออกมาขอโทษต่อกรณีที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันจะตระหนักว่าพรรคการเมืองใหญ่กว่าส.ส.แต่ประชาชนนั้นยิ่งใหญ่กว่าเสมอ
เหตุการณ์นี้สะท้อนพัฒนาการทางการเมืองและประชาธิปไตยว่ามีความก้าวหน้าถึงขั้นที่พรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจใช่ว่าจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจต่อไปอีกแล้ว
แต่จะติดตามจับตาตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่าได้ทำตามจุดยืนที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมก่อนการเลือกตั้งอย่างจริงใจ หรือนำเจตนารมณ์คะแนนเสียงไปใช้ในทางการมืองเพื่อการใดบ้าง
ดังนั้น พรรคการเมืองทั้งหลายจึงพึงสำเหนียกและรับรู้ว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นต้นไป จะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนลดทอน สั่นคลอน และไม่ไว้วางใจ
จริงอยู่ จำนวนเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลรวบรวมได้ในขณะนี้ ไม่เพียงพอต่อเกณฑ์เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้แน่นอน
น่ายินดีที่สมาชิกวุฒิสภาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 คน ได้แสดงสปิริตประชาธิปไตย มีเจตจำนงที่จะลงมติให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด
แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่มีท่าทีใดๆ ออกมา แต่ถ้าหากมีการประสานพูดคุยทำความเข้าใจให้ตรงกันได้ โดยลดจุดยืนบางอย่างที่อ่อนไหวลงไป ก็อาจได้รับการตอบรับที่ดี
อย่างไรก็ตาม ประชาชนคาดหวังต่อวุฒิสมาชิกอย่างน้อยจำนวน 63 คนที่เคยโหวตแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเห็นด้วยที่ส.ว.ไม่ควรมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนั้นว่าลงมติสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคก้าวไกลในครั้งนี้