“จับโจรโกงเลือกตั้ง” ประชาชนชี้นิ้ว กกต.พาซื่อเหลียวดูข้างหลัง “ไม่เห็นมีใคร หันกลับมา นิ้วเกือบทิ่มจมูก
เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความพินาศจากการเลือกตั้งล่วงหน้า ยังเชื่อว่า “บกพร่องโดยสุจริต” แต่ กกต.หมดเครดิต ประชาชนไม่ไว้วางใจ เข้าชื่อไล่ล้านกว่าคน พร้อมแฮชแท็ก #กกต.ต้องติดคุก
พูดอย่างนี้ไม่ใช่เชื่อ กกต.เที่ยงธรรม เพราะมาจากสรรหากันเองโดยองค์กรอิสระ ให้ความเห็นชอบโดย สนช.รัฐประหารตั้ง บ่อยครั้งวินิจฉัยไม่เป็นกลาง (ถ้าเพื่อไทยก้าวไกลฉายเลเซอร์สะพานพระราม 8 บ้าง คงโดนอ่วม)
เพียงแต่ความพังย่อยยับในการเลือกตั้งล่วงหน้า ไม่น่าจะ “ตั้งใจโกง” มันสะท้อนความพังอีกด้าน นั่นคือความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน การวางแผนที่ไม่รัดกุม ไม่คิดคำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดไว้ล่วงหน้า
เอาง่ายๆ เลยว่า การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต เหมือนกันทั้ง 400 เขต ไม่มีชื่อพรรคชื่อผู้สมัคร ก็ถูกทักท้วงอื้ออึงมาก่อนแล้ว ถ้าบัตรพลัดข้ามเขตจะทำอย่างไร กกต.ก็มั่นใจตัวเองเสียเหลือเกิน ไม่มีปัญหา
ใช่ครับ เลือกตั้งใหญ่วันที่ 14 ไม่น่ามีปัญหาเพราะนับที่หน่วย ไม่ใช่เชื่อมั่นกรรมการหน่วยนะ แต่ประชาชนนับล้านๆ จะจ้องจับผิด มีผู้สังเกตการณ์ นับคะแนนกันเอง แต่มันเกิดปัญหาแล้วไงกับการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่กรรมการหน่วยกรอกเลขผิด แล้วเอาใส่เข่งจนเป็นดราม่า
กกต.กลางอาจบอกว่าสาธิตวิธีการไปหมดแล้ว กปน.กลับทำผิด แต่คุณไม่คิดให้รัดกุมล่วงหน้า อุตส่าห์เสียงบไปดูงานเมืองนอก
“บกพร่องโดยสุจริต” ของ กกต.จึงไม่สามารถปล่อยลอยนวล เพราะสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพจนยับเยิน พูดได้ว่า 25 ปี กกต.จากยุค “ดรีมทีม” ปัจจุบันกลายเป็นขุนนางหัวโขน เคร่งระเบียบกั้นหน้ากั้นหลัง ดันทุรัง ตั้งตนเป็นเจ้านายประชาชน
กระนั้นถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญรื้อโครงสร้าง กกต. ก็ต้องลบภาพ “ดรีมทีม” ไปให้หมด รัฐธรรมนูญ 2540 ผิดที่มุ่งสร้างองค์กรเทวดาปราบนักการเมือง แล้วให้อำนาจมากจนล้นเกิน รัฐธรรมนูญ 2550,2560 ยิ่งต่อเติมเป็น “นิติรัฐประหาร”
กกต.ควรเหลือสถานะแค่องค์กรจัดเลือกตั้ง มีอำนาจบางอย่างเช่น สั่งย้ายข้าราชการชั่วคราว สั่งเลือกตั้งใหม่ถ้าส่อทุจริตอื้อฉาวจนประชาชนไม่ยอมรับ (ตัวอย่างเช่นจับแบงก์ร้อยเย็บติดกับแบงก์ยี่สิบ)
คดีทุจริตทั่วไป ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ อาจกำหนดระยะเวลาให้เร็วจี๋ แต่ไม่ใช่จับซื้อเสียง 2-3 ราย ล้มการเลือกตั้งที่ประชาชนใช้สิทธิหลายหมื่นคน
ยกเลิกอำนาจให้ใบส้มใบแดงใบดำ เพียงเพราะ “เชื่อได้ว่าทุจริต” คำว่า “เชื่อได้ว่า” มันคือศาลเตี้ย แม้ภายหลังให้ส่งศาลเลือกตั้งวินิจฉัย ก็ยังไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมปกติ
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยกเลิกอำนาจ “ยื้อผลเลือกตั้ง” ที่ให้เวลา กกต.ถึง 60 วัน กว่าจะประกาศผลเลือกตั้ง โดยระหว่างนั้นก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะ ทั้งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ และใช้เครื่องดูด ส.ส.
หลังเลือกตั้งถ้าฝ่ายค้านชนะ ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะมีหลายประเด็นสำคัญที่ควรแก้ไขเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งและ กกต.
1.ยกเลิกใบส้มใบแดงใบดำ กกต.ทำหน้าที่แค่จัดเลือกตั้ง สั่งเลือกตั้งใหม่ในกรณีอื้อฉาวใหญ่โต ลดพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวน ให้ทำหน้าที่ร่วมกับอัยการ
2.โละข้อห้ามคุณสมบัติจุกจิก ผู้สมัคร ส.ส. รัฐมนตรี ที่เอามาใช้ตัดสิทธิ เพิ่มอำนาจ กกต.อำนาจศาล ไม่ใช่แค่เรื่องถือหุ้นสื่ออย่างพิธา, ธนาธร แต่รวมถึงข้อห้ามเคยติดคุก แบบสิระ เจนจาคะ หรือโดนคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอนคุกไม่ได้ประกัน ตกเก้าอี้ ส.ส.อย่างแกนนำ กปปส.
มันมาจากทัศนะดูถูกประชาชน คนเคยติดคุกถ้ากลับตัว สมัคร ส.ส.ไม่ได้หรือไง ก็ให้ผู้สมัครคู่แข่งเอามาแฉ โดยยกเลิกข้อห้าม “ให้ร้ายป้ายสี” แจกใบแดงใบดำ การเลือกตั้งต้องด่ากันเป็นธรรมชาติ กลับให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย ถ้าปราศรัยให้ร้ายเดี๋ยวเขาฟ้องเรียกค่าเสียหายกันเอง
3.ยกเลิกบทบัญญัติยุบพรรค ใช้มาตรฐานสากล ยุบต่อเมื่อพรรคการเมืองประกาศใช้แนวทางยึดอำนาจด้วยอาวุธ ไม่ใช่วิถีเลือกตั้ง เท่านั้นเอง ความผิดอื่นเป็นเรื่องส่วนบุคคล
รัฐธรรมนูญ 2540 เคยกำหนด ถ้ารู้ว่าใครจะล้มล้างการปกครองให้ร้องศาลรัฐธรรมนูญ เจตนารมณ์คือให้ต้านรัฐประหาร แต่นิติรัฐประหารเอามาใช่เล่นงานพรรคการเมือง นี่คือเรื่องทุเรศที่สุด
4.ถ้าไม่มีเรื่องคุณสมบัติ เรื่องยุบพรรค ไม่เขียนบทบัญญัติให้ยุ่งยากตีความ ก็ยุบศาลรัฐธรรมนูญด้วย ใช้ระบบตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาทีละคดี เหมือนก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2540
5.ระบบเลือกตั้ง น่าจะเป็นฉันทามติว่า ต้องใช้บัตร 2 ใบ เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ ทั้งพรรคทั้งคน ที่มันผิดเพี้ยนพิกลอยู่นี้เป็นเพราะระบบรัฐธรรมนูญ 60 แก้ไม่สะเด็ดน้ำ 250 ส.ว.เลือกร่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดันแก้แค่ครึ่งระบบ
อย่างไรก็ดี ระบบเลือกตั้งยังมีข้อชวนคิด ว่าเป็นความจริงที่ระบบ 2540 “พรรคใหญ่ได้เปรียบ” และคะแนนเสียงประชาชนที่เลือก ส.ส.พรรคที่แพ้ “ตกน้ำ” แม้ยังมีบัตรพรรค แต่สัดส่วน ส.ส. 400-100 ก็ยังไม่สามารถทดแทนอย่างเป็นธรรม
ระบบที่เป็นธรรมที่สุดตอบสนองความหลากหลายทางการเมืองคือระบบ MMP ของเยอรมัน หรือไม่เช่นนั้นก็เพิ่มสัดส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ให้พรรคกลางพรรคเล็กได้ ส.ส.มากขึ้น
พูดอย่างนี้ ก้าวไกลได้เปรียบ? ไม่ใช่เลย พรรคเสรีรวมไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้เหมือนกัน สมมติรวมไทยสร้างชาติได้คะแนนนิยม 10% ทั้งประเทศ ก็ควรได้ ส.ส. 50 คน เป็นธรรมที่สุด
นี่จะแก้ปัญหา “ตัดคะแนนกันเอง” ไปในตัว ไม่ว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยหรือฝั่งอนุรักษนิยม
เฉพาะหน้า ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ต้องช่วยกันตรวจสอบเลือกตั้ง ปลุกความไม่ไว้วางใจ กกต.เป็นพลัง
ในประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงด่า ต้องกดดัน กกต.ให้ไม่กล้าใช้อำนาจ แล้วการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรม