เศรษฐา ตอกย้ำเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำได้จริง สานฝันต่อยอดธุรกิจ ปลื้มประชาชนเริ่มวางแผนแล้วจะเอาไปทำอะไร ชวนทุกคนแชร์ไอเดีย
วันที่ 10 พ.ค. 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า สานฝันหัวหน้ามินต์ช็อก เงินดิจิทัล 10,000 บาทกับความเป็นได้ไม่รู้จบ จากหนึ่งในนโยบายหลักของเพื่อไทยคือ นโยบายเติมเงิน 10,000 บาทเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) เพื่อปั๊มหัวใจประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยกระจายเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนภายในชุมชน ทั่วประเทศ ทุกอำเภอ และทุกตำบล ด้วยการจำกัดพื้นที่การใช้งานภายใน 4 กิโลเมตรตามที่อยู่หน้าบัตรประชาชน
หลายคนอาจยังคงมีคำถามคาใจที่ว่า นอกจากการนำไปกินใช้รายวันแล้ว 10,000 บาทจะสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง จากการลงพื้นที่พูดคุยกับพี่น้องประชาชน หลายครอบครัว รวมไปถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เริ่มวางแผนกันแล้วครับว่าจะนำเงิน 10,000 นี้ไปใช้ทำอะไร และผมก็รู้สึกเซอร์ไพรส์มากกับความคิดสร้างสรรค์ในการบริหารเงินของพี่น้องซึ่งช่วยต่อยอดและขยายความเป็นไปได้ของนโยบายนี้ออกไปได้ไกลอย่างไม่รู้จบ
บางคนตั้งใจแบ่งเงินไว้เพื่อใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเติมเข้าบ้านตลอด 6 เดือน ตกเดือนละราว 1,666 บาท บางหมู่บ้านที่ขาดแคลนร้านขายของชำตั้งใจจะรวมสินค้าทางการเกษตรของแต่ละบ้านมาขายที่สหกรณ์เพื่อแลกเปลี่ยนกัน บางครอบครัวที่มีความฝันอยากต่อยอดหรือเริ่มต้นธุรกิจก็เตรียมตัวที่จะนำเงิน 10,000 บาทของแต่ละคนมารวมกันเพื่อใช้เป็นต้นทุน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ผมขอยกตัวอย่างกรณีนี้ครับ นางสาวกุ๊งกิ๊ง เป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง ปัจจุบันในร้านของเธอนั้นมีเมนูเครื่องดื่ม 5 เมนู แต่หลังจากที่ได้ชิมเมนูมินต์ช็อก เธอก็เกิดไอเดียอยากเพิ่มเมนูใหม่เข้ามาในร้าน น่าเสียดายที่การลงทุนในเมนูใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะวัตถุดิบของเมนูเดิมทั้ง 5 นั้นไม่สามารถนำมาทำเมนูใหม่นี้ได้ เธอจึงต้องซื้อวัตถุดิบใหม่เติมเข้ามาในร้าน
โดยในการทดลองขายเมนูใหม่ 1 เดือนแรก กุ๊งกิ๊งตั้งเป้าอยากขายให้ได้ 600 แก้ว หลังคำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว เธอต้องใช้เงินทุนกว่า 26,524 บาทเพื่อซื้อวัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ช็อกโกแลตบาร์จากเกษตรกรไทย 25 กิโลกรัม ราคา 20,000 บาท, มินต์ไซรัป 10 ขวด ราคา 4,500 บาท และนมสด 10 แกลลอน ราคา 2,024 บาท
ปัญหาอยู่ที่กำไรของร้านในปัจจุบันนั้นก็จำเป็นต้องถูกหมุนเวียนไปใช้ซื้อวัตถุดิบในการทำเมนูดั้งเดิม แต่ปัญหานี้จะหมดไปและความฝันในการขยายกิจการของกุ๊งกิ๊งจะเป็นจริงทันที เมื่อนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลเกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะด้วยเงิน 10,000 ของกุ๊งกิ๊งเอง หรือจะนำไปรวมกับเงินของสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ก็สามารถกลายมาเป็นต้นทุนในการทำธุรกิจได้
นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนร้านค้าในบริเวณใกล้เคียงไปพร้อมกันอีกด้วย น่าเสียดายที่ผมเป็น #ทีมไม่กินมินต์ช็อก จึงอาจจะไม่ได้อุดหนุนเมนูใหม่ของกุ๊งกิ๊ง แต่ถ้าพี่น้องคนไหนมีไอเดียอื่นๆ ในการต่อยอดความเป็นไปได้ของการใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาท ผมขอเชิญชวนให้ทุกคนนำออกมาแชร์กันครับ #หัวหน้ามิ้นต์ช็อก