เปิดใจแม่น้องภูผา ลูกตาบอดเฉียบพลัน ไร้ทางรักษา อาจร้ายแรงถึงชีวิต ทนทุกข์มา 7 เดือน ป่วย 1 ในแสน กลับมามองเห็นแต่ไม่ 100% อาจเป็นอีกได้
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 3 พ.ค.66 น.ส.โสภิดา (ขอสงวนนามสกุล) เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ หลังเธอได้โพสต์คลิปเล่าเรื่องราวสุดสะเทือนใจผ่าน TikTok @nnnow.1996 เมื่อลูกของเธอจู่ๆ ก็ตาบอดแบบเฉียบพลัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว แม่ใจสลาย! จู่ๆ ลูกตาบอดเฉียบพลัน สุดเข้มแข็ง ไม่เอาดวงตาแม่ ยังไร้สาเหตุ
น.ส.โสภิดา เล่าว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย.65 น้องภูผา ลูกชายเกิดมองไม่เห็นเฉียบพลัน โดยอาการดังกล่าว ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เหมือนดวงตาของลูกถูกปิดสวิตซ์ไฟ ดับไปเลยทั้ง 2 ข้าง ตอนแรกตนคิดว่าน้องภูผาเป็นแค่สายตาสั้นเท่านั้น ต่อมาวันที่ 21 พ.ย.65 ตนจึงพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และได้ตรวจตา ซึ่งดวงตาน้องปกติดีทุกอย่าง แพทย์จึงสันนิษฐานว่า อาจจะมีก้อนเนื้อไปทับเส้นประสาทตา
จากนั้นน้องภูผาได้เข้าทำ MRI เพื่อตรวจหาก้อนเนื้องอกในสมอง และตรวจดูเส้นประสาท หาสาเหตุว่าทำไมจึงมองไม่เห็นเฉียบพลันขนาดนี้ น้องโดนวางยาสลบไป 8 โดส แต่น้องต้านยามาก ไม่ยอมหลับ กลัวไปหมด อาจเป็นเพราะมองไม่เห็นด้วย สรุปคือ เข้าทำ MRI ไม่ได้ แม้จะลองมาหลายครั้ง เพราะน้องไม่ยอมหลับ ทั้งนี้การตรวจ MRI ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อตรวจสมอง และระบบประสาทอย่างละเอียด แต่น้องภูผาเข้าไปได้เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ก็ตื่นและโวยวาย
ล่าสุดน้องภูผาก็ตรวจพบว่าเป็นความดันในสมองสูงเฉียบพลัน ซึ่งแพทย์ระบุว่า เป็นโรค 1 ในแสนที่อันตรายมาก หากน้องภูผาเป็นอีกครั้ง นั่นหมายความว่า เส้นประสาทของน้องเสื่อม มีโอกาสที่จะทำให้ตาบอดถาวร หรือร้ายแรงกว่านั้นอาจจะทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทรา และร้ายแรงที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิต
น.ส.โสภิดา กล่าวต่อว่า หลังจากที่น้องภูผามีอาการดังกล่าว ยังคงใช้ชีวิตตามปก เป็นเด็กร่าเริง พูดเก่งตลอดเวลา และหลังจากอยู่กับอาการตาบอดเฉียบพลันมา 7 เดือน ตอนนี้น้องภูผากลับมามองเห็นอีกครั้งแล้ว แต่ยังมองเห็นแค่ 70% ทั้งนี้น้องภูผายังบอกคุณพ่อด้วยว่า “หนูจะกลับมามองเห็นเป็นของขวัญวันเกิดให้พ่อนะ” ซึ่งวันเกิดของพ่อน้องตรงกับวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา และน้องภูผาก็กลับมามองเห็นจริง ๆ ในวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาจริงๆ แต่การกลับมามองเห็นที่ว่านั้นคือยังไม่เต็ม 100% เพราะน้องจะมองเห็นวัตถุในระยะไกล ส่วนวัตถุระยะใกล้จะมองไม่เห็น อย่างของที่อยู่ใกล้ตัวเขาก็จะมองไม่เห็น ต้องใช้มือคลำเอา ส่วนการมองเห็นสีนั้นดีขึ้นจากในตอนแรกมาก
น.ส.โสภิดา กล่าวอีกว่า ตนถามลูกทุกวันว่า “เอาดวงตาแม่ไปมั้ย” แต่ลูกกลับตอบมาว่า “ไม่เอา แม่เก็บดวงใสๆ ของแม่ไว้เถอะ เก็บไว้มองหน้าหนูนะ เดี๋ยวหนูไปหาหมอ หมอก็ใส่ลูกตาให้หนูใหม่แล้ว” ซึ่งตนยอมรับว่า ศึกษาวิธีการมอบดวงตาไว้ให้ลูกหมดแล้ว พร้อมให้ดวงตากับลูก แต่ถ้าหากว่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ น้องภูผาจะโกรธ และไม่เอาเด็ดขาด เพราะน้องรักแม่มาก ไม่อยากให้แม่เป็นอะไรไป ไม่ค่อยทำร้ายร่างกายแม่ และฟังแม่ตลอด ทุกครั้งที่ตนร้องไห้ น้องภูผาก็จะคอยปลอบตลอด เพราะเขารู้ว่าแม่ป่วยเป็น ‘โรคซึมเศร้า’ ระยะรุนแรง ยังต้องทานยาอยู่ตลอด เป็นมา 2 ปีกว่าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้องภูผาจะดีขึ้น แต่ก็ยังอยู่ด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่รู้แน่ชัดว่าลูกเราเป็นอะไรกันแน่ นอนไม่เต็มตื่นทั้งบ้าน ทั้งนี้ตนเข้าใจว่าคุณหมอที่ดูแลน้องก็ทำเต็มที่แล้ว แต่หัวอกคนเป็นแม่มันรอไม่ได้ อยากรู้ว่าลูกเป็นอะไรกันแน่ เพราะได้เจาะไขสันหลังน้องภูผาไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ตนกังวลใจมากว่า ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เส้นประสาทน้องภูผาจะเสื่อมหรือไม่ เมื่อไหร่เราจะได้ยินว่า “คุณแม่คะ น้องหายปกติแล้วนะคะ” ตนอยากได้ยินคำนี้มาก เพราะว่าตอนนี้น้องไม่ได้ไปโรงเรียน และน้องก็ใช้ชีวิตโลดโผนเหมือนปกติ โลกของเขาเคยสดใส แต่ตอนนี้เขาทรมานมาก “เมื่อไหร่พระอาทิตย์ของหนูจะขึ้นสักที” นี่คือคำพูดจากปากน้องภูผา เด็กชายวัย 4 ขวบ
สุดท้ายนี้ เจตนาของตนที่แชร์เรื่องราวลงติ๊กต็อก ไม่ได้คิดว่าจะมีคนดูมากถึง 3 ล้านคน ต้องการลงเป็นอุทาหรณ์เท่านั้น และย้ำว่าตนไม่เปิดรับบริจาคเงินใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าหากมีคนเอ็นดูน้องภูผาอยากให้น้อง ตนก็ไม่ขัดศรัทธา แต่จะไม่มีการเปิดบัญชีรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าตนเอาลูกมาหากิน แต่อยากได้คุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ มารักษาลูกให้หายสักที