จากคู่จิ้นสู่คู่จริง แอน อรดี ขอบคุณเอฟซี กามเทพลิขิตรัก ลงเอยคนที่ใช่ บอย ศิริชัย ตามใจให้เกียรติทุกอย่าง หลังแต่งพร้อมมีลูกเลย
จากคู่จิ้น สู่คู่จริงในวันนี้ สำหรับคู่รักหมอลำชื่อดัง แอน อรดี และ บอย ศิริชัย หัวหน้าวงหมอลำใจเกินร้อย ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ ในวันเสาร์ ที่ 29 เมษายน 2566 ว่าที่เจ้าสาว แอน อรดี ที่มีคิวงานแน่น ทำงานขึ้นคอนเสิร์ตทุกวัน ได้เปิดใจกับ ข่าวสดออนไลน์ ถึงแพลนชีวิตหลังแต่งงาน พร้อมเผยเส้นทางความรักที่แม้แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันนี้ เรียกว่าเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ได้เจอกับ บอย ศิริชัย ได้ลงเอยเป็นคู่ชีวิตกัน เจ้าตัวบอกขอบคุณแรงสนับสนุนจากแฟนคลับ ที่คอยเชียร์ความรักคู่ของตนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เลยพลาดไม่ได้ที่จะเชิญกลุ่มแฟนคลับมาร่วมเป็นสักขีพยานรัก เตรียมจัดงานรองรับแขกประมาณเกือบ 4 พันคน
ทำงานขึ้นคอนเสิร์ตจนวินาทีสุดท้ายก่อนเป็นเจ้าสาว? “ใช่ค่ะ ทำงานตามแพลนไว้เลย ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะจัดงานแต่งค่ะ ก็เป็นฤกษ์ที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน พอดีมีโอกาสได้ไปเจอกับผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน แล้วแต่ละท่านอยากมาร่วมงานกันเยอะ มีหลายคนอยากร่วมแสดงความยินดีเยอะมาก เราก็เลยตัดสินใจจัดงานแต่งปุ๊บปั๊บเลย”
ถามถึงเรื่องที่มีคนถามการ์ดแต่งงานไม่มีชื่อพ่อแม่? “ก็มีความเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่า มันอาจจะต้องมีคอมเมนต์ หรือกระแสที่ตีกลับมาบ้างเป็นธรรมดา เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรที่เป็นงานใหญ่ ไม่ใช่แค่เรื่องแต่งงาน เป็นเรื่องอะไรใดใดก็ตามแต่ ก็คิดว่าอะไรที่มันเป็นงานใหญ่ๆ มันก็จะชอบมีอะไรทั้งดีและไม่ดีเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกัน แอนก็เตรียมใจไว้แล้วเหมือนกัน อย่างคอมเมนต์ในโพสต์ของแอนมันเยอะ แอนอาจจะมองไม่เห็นในคอมเมนต์นั้น แต่มารู้อีกที พี่ๆ แฟนคลับเขาโพสต์พูดถึงกันเยอะ ก็เลย อ๋อ เขาแคปมาให้ดู”
แอบน้อยใจ เสียใจไหมว่าทำไมมีดราม่าก่อนที่เราจะแต่งงาน? “ก็มีนิดหน่อย มีเสียใจนิดหน่อย แต่อย่างที่บอกแอนก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะมีคนเข้ามากวนบ้าง มาคอมเมนต์ในอีกทางหนึ่งบ้าง แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรกับคอมเมนต์ตรงนั้น บางทีเขาอาจจะถามด้วยความที่ไม่ทราบก็ได้”
การ์ดมี 2 แบบอยู่แล้ว? “ใช่ค่ะ มี 2 แบบ ด้วยความที่เราจัดงานกันกะทันหันด้วยค่ะ มีเวลาเตรียมตัวแค่ประมาณ 20 วัน เราก็เริ่มพิมพ์การ์ด พิมพ์การ์ดอันแรกเป็นการ์ดที่ต้องเชิญผู้ใหญ่ เชิญแขกเลย เป็นการ์ดหลักของเรา ก็จะมีชื่อฝ่ายญาติเจ้าบ่าวเจ้าสาวปกติเลยค่ะ เป็นการ์ดทั่วไปมีรายละเอียดทุกอย่างเลย ส่วนอีกการ์ดหนึ่งที่แอนใช้เชิญทุกๆ คนผ่านทางโซเชียล คือบางทีเราไม่สามารถจะเดินทางไปเชิญได้ด้วยตัวเอง เราก็จะมีการ์ดอีกการ์ดหนึ่งที่สำรองขึ้นมาซึ่งจริงๆ การ์ดอันนี้มันเป็นการ์ดที่ใช้ในบ้าน AB ด้วยซ้ำ บ้านกลุ่มแฟนคลับ แต่ในเมื่อมันทำสะดวกมาแล้วเราก็นำการ์ดนี้เชิญทุก ๆ คนในโซเชียลไปเลยค่ะ”
“ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่ให้ความสนใจเรื่องราวชีวิตแอนและพี่บอย ซึ่งแอนคิดว่าคนที่ติดตามเรา เขาจะทราบว่าความเป็นไปเป็นมายังไง รวมไปถึงคนที่คอมเมนต์ก็น่าจะต้องติดตามเราเช่นเดียวกันถึงจะได้มาคอมเมนต์เนาะ แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักว่าเป็นใคร ซึ่งพอข่าวเสนอออกไป ก็อยากจะฝากทุกๆ ท่านช่วยพิจารณา อ่านข่าวให้จบก่อนนิดนึงว่าเป็นยังไง บางคนอ่านแค่พาดหัวข่าวมาคอมเมนต์เลยก็มี ซึ่งทุกวันนี้แอนก็ไม่ค่อยเข้ามาอ่านคอมเมนต์สักเท่าไหร่ เพราะแอนคิดว่าหลายคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ พอเราเข้ามาอ่านมันก็ต้องมีทั้งดีและไม่ดี แต่ว่าอยากให้ทุกคนใจเย็นๆ ในยุคนี้เนาะ มันมีทั้งข่าวที่น่าร่วมยินดีก็ร่วมยินดี ถ้าข่าวที่ชวนให้แสดงความคิดเห็นก็แสดงความคิดเห็นกันแบบน่ารักๆ ดีกว่า คือเซฟทั้งเขาและเรา”
“แอนก็จะบอกกับแฟนคลับอยู่เสมอว่า ขอให้ใจเย็นๆ ขอให้นึกถึงใจเขาใจเราเวลาที่จะไปคอมเมนต์ใคร มันจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ทำให้โลกโซเชียลเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะทุกวันนี้คนสามารถคอมเมนต์ด่ากันเร็วมาก แต่แอนเชื่อเลยว่าหลายๆ คนเข้ามาหาแต่ความบันเทิง อยากมาอ่านข่าวที่ดี อยากจะอ่านข่าวบันเทิงที่น่ารัก แต่ว่าบางทีพอมาเจอคอมเมนต์ที่เชิงลบมาก่อนแล้ว ก็เชิงลบไปตาม แอนว่ามันก็ไม่น่ารักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคอมเมนต์ที่เชิงบวก ก็บวกไปกับเขาเลยจะดีกว่า มันจะทำให้เราสภาพจิตใจดีขึ้นได้ด้วยค่ะ”
งานใหญ่แค่ไหน รองรับแขกได้ประมาณกี่คน? “งานใหญ่มากค่ะ จัดที่หอประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็รองรับได้ประมาณ 3 พัน เกือบ 4 พันคนได้เลย แฟนคลับมาร่วมยินดีกับเราในงานได้เลยค่ะ ช่วงที่แอนเดินสายทำงานทุกวัน แอนก็ถือโอกาสเชิญทุก ๆ คนไปร่วมงานเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการทำให้แอนกับพี่บอยได้มีวันนี้ด้วย”
จากคู่จิ้นที่แฟนคลับเชียร์จนวันนี้เป็นคู่จริงกันแล้ว อยากให้แฟนๆ มาร่วมยินดีในงานด้วย? “ใช่ เราก็จะอยู่เคียงข้างกันมาตลอดทุกๆ เหตุการณ์ เนี่ยมีงานใหญ่เป็นงานสำคัญที่น่ายินดีกันทั้งที เขาก็พลาดไม่ได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้เราเคยจัดคอนเสิร์ตแล้ว คนมาค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นจัดที่เดอะมอลล์ บางกะปิ ตอนนั้นก็ได้เกริ่นๆ ไว้ถ้ามีงานแต่งไม่พลาดแน่นอน ก็หาสถานที่ไว้เผื่อแฟนคลับเลยค่ะ”
กำหนดการพิธีในวันนั้นเป็นอย่างไร? “พิธีไทยช่วงเช้า แล้วฉลองเย็นเลยค่ะ ส่วนคอนเสิร์ตก็เป็นคอนเสิร์ตของหมอลำเลย เราก็มีทีมงานหมอลำมาร่วมงานกันอยู่แล้ว ของหมอลำวงพี่บอย แล้วก็มีแอน และมีศิลปินที่มาร่วมเป็นเกียรติในงาน ที่แน่ๆ มีคุณเต๋า ภูศิลป์”
วางแผนชีวิตหลังแต่งงานอย่างไร? “ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็เริ่มวางแพลนกันมาตลอดว่าจะมีลูกตอนไหน อยากจะมีลูกมั้ย หรือว่าใช้ชีวิตกันยังไง หลังจัดงานแต่ง แอนคิดว่าก็ไม่น่าจะแตกต่างอะไรเพราะว่าเราก็ใช้ชีวิตกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกว่าเราค่อนข้างไปด้วยกันได้ดี เป้าหมายเดียวกัน ก็จะมีแค่ว่าต้องห่างกันช่วงทำงาน และมีไปทำงานด้วยกันบ้าง”
จะมีลูกเลยไหม? “ถ้ามีก็ดีค่ะ ไม่ได้คุมอะไร ปล่อยตามธรรมชาติเลย แต่ถ้ายังไม่มีก็จะไปปรึกษาคุณหมอ”
ถ้าน้องมาแล้ว ยังขึ้นคอนเสิร์ตร้องเพลงได้? “สามารถควบคุมคิวงานได้อยู่เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าจะมีนะคะ ถ้าสมมติว่าน้องมาจริงๆ ก็ยังทำงานได้อยู่ พอดีกับช่วงที่ยังไม่เปิดฤดูกาล แต่แฟนคลับก็อยากให้มีค่ะ เขาอยากเห็น ที่สำคัญคือคุณยายทวด และคุณยาย ทั้งฝั่งแอนและพี่บอยด้วย คือช่วงนี้ท่านมีโรคประจำตัวกันอยู่ด้วย เราก็คิดว่าอยากให้ท่านได้เห็นหน้าหลานก่อน อันนี้คือเหตุผลหลักเลยที่อยากมีทายาทเลย”
คู่เราในที่สุดก็มีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? “มันเหมือนถูกลิขิตไว้แล้ว จริงๆ แอนกับพี่บอยต่างคนก็ต่างไม่ได้คิดว่าเราจะได้มีวันนี้ มีโอกาสที่จะได้มาคุยกัน มาเป็นแฟนกัน มาแต่งงานกัน คือทุกอย่างมันมีเรื่องราว มีสตอรี่มาหมดเลย โดยที่ว่าเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น เราก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนที่จะทำให้เราได้มีวันนี้ (เรียกว่าเป็นพรหมลิขิต?) ใช่ๆ แฟนคลับเขาก็เหมือนเป็นกามเทพให้เราด้วย หรือบางทีเรางอนกัน ทะเลาะกัน ก็ช่วยเคลียร์ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับแฟนเพลงที่ช่วยเชียร์ช่วยให้กำลังใจ”
แม้จะคบกันไม่นาน แต่ยิ่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งพากันเจริญรุ่งเรือง ไม่ได้มองว่าเร็วเกินไปที่แต่งงานกัน?
“แอนว่าตอนนี้มันเป็นยุคใหม่ สมัยใหม่แล้ว ที่หลายคนพอหลังจากบรรลุนิติภาวะ เริ่มมีสิทธิ์ในการตัดสินใจในการใช้ชีวิตของตัวเอง แอนเริ่มออกมาทำงานเองตั้งแต่เด็ก รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองตั้งแต่เด็กแล้ว เรารู้จักรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ซึ่งการที่จะมีแฟน มีครอบครัว มันก็เป็นสิทธิ์ของเราซะส่วนมาก คุณพ่อคุณแม่เขาก็ให้สิทธิ์เราเต็มที่ในการที่เราจะเลือกใคร อยากจะรักใคร อยากจะใช้ชีวิตกับใคร แต่ก็ยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ เขาก็จะเคารพในการตัดสินใจเราด้วย อย่างคนนี้พี่บอย เราก็ไม่คิดว่าจะมาลงเอยด้วยดีขนาดนี้ แต่เนื่องด้วยมันก็อยู่ในสายตาผู้ใหญ่กันทั้งหมด แล้วก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ธรรมดา คือเป็นแฟนคลับแฟนเพลงหลายๆ คนที่ท่านหวังดี ก็จะแบบว่า คนนี้ดีนะ เขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี แล้วดูนิสัยใจคอกันให้ด้วย เราก็รู้สึกสบายใจไปด้วย ซึ่งแต่ก่อนเราจะคบใคร เราก็จะซุ่มคบกันเอง คุยกันเอง”
คนนี้ผ่านทุกอย่าง? “ใช่ เข้าตาผู้ใหญ่ แล้วก็ฟันธงว่าคนนี้แหละที่สามารถจะดูแลเราได้ และเป็นผู้นำให้ได้ในทุกเรื่อง จริงๆ ค่อนข้างจะแย่งกันเป็นผู้นำด้วยซ้ำ เพราะว่าแอนเองก็มีความเป็นผู้นำแล้วพี่บอยก็มีความเป็นผู้นำ มันก็ดีแต่ว่าเราเองก็เป็นผู้หญิง แอนต้องการคนที่เก่งกว่า เป็นผู้นำกว่าแอนอยู่แล้ว ซึ่งแอนก็ไม่ได้ติดตรงนั้น”
เราทั้งคู่อยู่ในวัยที่พร้อมสร้างครอบครัวของตัวเองแล้ว? “ปีนี้แอนก็ 31 แล้ว ส่วนพี่บอยก็ 35 ย่าง 36 แล้วก็ถือว่ากำลังพอดี ซึ่งเราเองก็อยากจะทำและพิสูจน์ให้กับหลายๆ คนได้เห็นด้วยแหละว่า เราเป็นศิลปินส่วนอีกพาร์ตหนึ่งก็เหมาะกับการสร้างครอบครัวแล้ว”
ยุคสมัยนี้ คู่รักศิลปินยิ่งช่วยกันส่งเสริมกัน แฟนคลับเปิดกว้างมากขึ้น? “ใช่ค่ะ ยิ่งดี ตอนแรกแอนก็แอบเกร็งๆ ว่าแฟนคลับเขาจะโอเคมั้ยกับการที่เรามีแฟน มีครอบครัว แต่อันนี้โอ้โห ยิ่งสนับสนุน ยิ่งอยากให้แต่งงาน อยากให้มีลูก(หัวเราะ)”
พอทำงานด้วยกัน ความเป็นสามีภรรยา เราดูแลการเงินสามี ค่าตัวเข้ากระเป๋าเมียหมดเลยมั้ย? “เราวางแผนกันมาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มคบกัน เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลยค่ะ เงินค่าใช้จ่าย หรือรายรับต่างๆ ก็ค่อนข้างเป็นสัดเป็นส่วนดีเหมือนกัน พี่บอยให้เกียรติแอนในการดูแลเงินทั้งหมด เขาจะใช้จ่ายอะไรเขาก็จะปรึกษาเราก่อน แอนก็เหมือนกันมีอะไรก็จะปรึกษาพี่บอยเหมือนกัน ไม่ค่อยได้มีปัญหากันตรงนั้น ส่วนมากเขาก็จะให้เราถือแหละ”
บอย ศิริชัย กลัวเมียมั้ย? “เขาเป็นคนที่ตามใจแอนมากๆ ด้วยความที่รักและเข้าใจเรา กลัวเราเหนื่อย และค่อนข้างเกรงใจมากๆ แต่อย่าไม่มีเหตุผล อย่าเป็นคนที่ขี้งอแงเกินไป ถ้าแอนไม่มีเหตุผลเขาก็จะดุ จะโกรธเหมือนกัน มีการงอนคืนเหมือนกัน ตั้งแต่เป็นแฟนกันมันก็มีบ้าง ยิ่งช่วงนั้นที่จะเป็นรอบนั้นของเดือน เรายิ่งไม่มีเหตุผล เขาก็จะเข้าใจและอาจจะกำลังปรับตัวอยู่ ด้วยความที่เขาใช้ชีวิตคนเดียวมาสักพักหนึ่งแล้วและเขาก็ทำแต่งาน พอวันหนึ่งมีแฟนมีครอบครัวขึ้นมาก็ปรับกันเยอะเหมือนกัน การแต่งงานใช้ชีวิตคู่มันคือจุดเริ่มต้นเลย ตอนนี้ถ้าต่างคนต่างเหนื่อย ก็จะไม่ค่อยได้คุยกัน ต่างคนต่างหันเข้ามุมของกันและกันแล้วพักผ่อน เราก็ค่อนข้างรู้ใจกันในระดับหนึ่ง เรามั่นใจว่าชีวิตคู่เรามันมีทางออก สมมติถ้าทะเลาะกันมันก็คืนดีกันได้ด้วยความเข้าใจ กับคนนี้แหละที่เราจะใช้ชีวิตร่วมด้วย”.