เอกนัฏ อ้อน ปชช. เปิดใจแล้วจะรัก ประยุทธ์ ปลุก พลังเงียบ เชียร์นั่งนายกฯอีกสมัย สานต่อภารกิจให้สำเร็จ ย้ำ “บัตรลุงตู่พลัส” ทำได้จริง-ช่วยตรงจุด
วันที่ 27 เม.ย.66 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า คำถามที่หลายคนออกมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือการเดินหน้าสู่การเป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว คอยวิจารณ์กระแนะกระแหนว่าคนที่เป็นทหารมาตลอดชีวิต ไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า แต่ทุกวันนี้การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถตอบคำถามทุกอย่างได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่คนเข้าถึงยาก พอเปิดตัวทุกคนก็ได้เห็นบุคลิกที่เป็นกันเอง แต่ก่อนหน้านี้เพียงแต่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้ประชาชนในฐานะฝ่ายบริหาร จนบุคลิกด้านนี้ไม่ได้เปิดออกมาให้ประชาชนได้เห็น
“ใครได้ติดตามการลงพื้นที่ช่วงนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ จะยิ่งเห็นความเป็นกันเอง เป็นคนธรรมดาเหมือนคนทั่วไป เชื่อว่าหากใครยังตั้งคำถาม ขอแค่เปิดใจก็จะมองเห็นความตั้งใจจริงของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน” นายเอกนัฏ กล่าว
นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า ผลงานของรัฐบาลภสยใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ผ่านมาหลายอย่างกำลังจะสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมไร้เงินสด การสร้างรถไฟฟ้าทั่ว กทม. คมนาคมขนส่งทั่วประเทศ และความตั้งใจสานงานต่อที่ทำมาแล้วเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน คำถามที่หลายคนออกมาวิจารณ์ว่าทำมาแล้ว 8 ปี อีก 2 ปีจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร อยากให้ลองนึกภาพการสร้างบ้านที่วางรากฐานไว้แล้วตอนนี้เหลือเพียงการฉาบปูน และตกแต่ง นี่คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจเพื่อการทำงานที่ผ่านมาให้สำเร็จ
นายเอกนัฎ กล่าวว่า สำหรับนโยบายของ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ฝ่ายตรงข้ามมักจะวิจารณ์คือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส หรือบัตรลุงตู่พลัส โครงการนี้รัฐบาลดำเนินการมาแล้วเป็นระยะเวลานาน ตรงไปยังกลุ่มเปราะบางเพื่อทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ การเพิ่มวงเงินสิทธิประโยชน์ที่เป็นไปตามการสำรวจความต้องการของประชาชนกลุ่มนี้ ก็จะยิ่งทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น
นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า แตกต่างจากนโยบายของบางพรรค ที่ประกาศจะให้เงินทุกคน โดยใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในคราวเดียว นโยบายเช่นนี้ไม่มีใครมั่นใจว่าจะทำได้จริง แม้ย้ำแล้วย้ำอีกว่าสามารถดำเนินการได้ แต่หากดูตัวเลขงบประมาณในปี 2567 ซึ่งกำหนดกรอบไว้แล้ว ก็จะเหลืออยู่เพียง 2 แสนล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการดำเนินนโยบายที่ต้องใช้เม็ดเงินถึงมากกว่า 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องให้นักเศรษฐศาสตร์ที่ไหนมาวิเคราะห์ แค่คนทั่วไปก็มองออกว่า โครงการที่ใช้เงินถึงมากกว่า 5 แสนล้านบาท ถ้าไม่กู้เงินไม่สามาถเกิดขึ้นได้จริง ก็อยากให้ประชาชนพิจารณาตัดสินใจเลือกพรรคที่นำเสนอนนโยบายที่จับต้องได้จริง และไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง มากกว่าพรรคการเมืองที่ขายฝัน ที่สำคัญยังเป็นฝันที่อาจเข้ามาหาประโยชน์จากโครงการเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะไม่ว่าจะดำเนินโครงการอะไร คนกลุ่มนี้ก็มีช่องทางหาประโชนน์ให้พวกพ้องได้ทุกครั้ง” นายเอกนัฏ กล่าว