สั่งพักงานคนขับรถเมล์ พร้อมกระเป๋า หลังขับทับยายวัย83 ดับ ทั้งคู่หอบพวงมาลัย ร่ำไห้สำนึกผิด ไหว้ขอขมาญาติ พร้อมเยียวยา ทางญาติอโหสิกรรมให้ทั้งคู่
วันที่ 24 เม.ย. ที่นิติเวช โรงพยาบาลวชิรพยาบาล นางธัญพร ตันเจริญ อายุ 84 ปี อาของ น.ส.ยุพิน หะยากุล อายุ 83 ปี หลานที่เสียชีวิต จากเหตุการณ์ รถเมล์สาย 66 ขับรถไปทับร่าง น.ส.ยุพิน เสียชีวิต ระหว่างที่เดินข้ามทางม้าลายกลางสี่แยกศรีย่าน หลังออกไปซื้อต้มเลือดหมูให้หลานที่ป่วยเป็นมะเร็ง โดยบรรดาครอบครัวยังอยู่ในอาการโศกเศร้า
ต่อมา นายอำพน อายุ 35 ปี คนขับรถเมล์ และ น.ส.ชนม์ชนก อายุ 30 ปี กระเป๋ารถเมล์ ถือพวงมาลัยคนละพวงมาขอขมานางธัญพร ตันเจริญ อายุ 84 ปี อาของผู้เสียชีวิต โดยนางธัญพร ก็ได้พูดปลอบทั้งคู่ว่า “ไม่ถือโทษโกรธใคร และขออโหสิกรรมให้ทั้งคู่ หลังจากนี้ก็ให้กลับไปทำงาน และจงมีสติกับทุกอย่าง”
ซึ่ง นายอำพน ยกมือไหว้นางธัญพร ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ก่อนบอกว่า ขอโทษจริงๆ ยอมรับว่ามองไม่เห็นผู้เสียชีวิต และมองไม่เห็นรถคันอื่น โดยตนขับมาปกติ และเลี้ยวตามสัญญาณไฟเขียว เพราะเป็นรถคันแรกที่เลี้ยว ไม่ได้ขับด้วยความเร็วอย่างแน่นอน ตอนนี้ทุกข์ใจมาก ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งตนได้ช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิตเป็นอย่างดี และมีกฎระเบียบของต้นสังกัดที่จะช่วยเหลือเยียวยา ส่วนเส้นทางถนนจุดนี้ ตนขับคุ้นทางดี และเพิ่งเปลี่ยนเส้นทางมาใช้เส้นทางนี้ได้ไม่ถึงปี
- อ่าน รถเมล์สาย 66 ทับยาย83 ขณะข้ามทางม้าลาย ไปซื้อต้มเลือดหมูให้หลานป่วยเป็นมะเร็ง
- อ่าน รับศพเศร้า ยายวัย83 ถูกรถเมล์ทับ ญาติยังช็อกทำใจไม่ได้ ตร.แจงปม จยย.เฉี่ยว
ขณะที่ นางสาวชนม์ชนก ร่ำไห้ทั้งน้ำตา ก่อนบอกว่า ขอโทษ ตนไม่รู้เรื่อง เพราะเก็บเงินค่าโดยสารอยู่ด้านหลังรถ และตนไม่ได้อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่พอเกิดเหตุก็รีบวิ่งลงไปดูผู้เสียชีวิตทันที ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้าน นางธัญพร ก็บอกว่า อโหสิกรรมให้กับทั้งคู่ และไม่ติดใจอะไร ไม่โกรธแค้น เพราะเชื่อว่าเป็นเวรกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ในใจก็ยังทำใจไม่ได้ ใจจะขาด เพราะอยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็ก-กินข้าวนอนด้วยกันตลอด แต่ ขสมก. ก็ยืนยันว่า จะดูแลตามระเบียบขั้นตอน ซึ่งในส่วนของคดีความ ยังอยากขอดูกล้องวงจรปิด เพื่อความแน่ชัด
เบื้องต้น นายสมหมาย ชูเลิศ หัวหน้ากลุ่มงานปฎิบัติการรถ กอง 3 เขต 7 ขสมก. ต้องพักงานของทั้งคู่ไปก่อน เพื่อให้ไปเคลียร์เรื่องของคดีความกันก่อน