เอาแล้ว! บิ๊กป้อม เปิดใจฉบับ 10 สาวไส้น้องรัก ปมแก้รัฐธรรมนูญบัตรเลือกตั้ง แจงชัด ยันไม่ใช่เผด็จการจำแลง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ชัยชนะที่ไม่ก่อความร้าวฉาน” ระบุข้อความว่า ตอนนี้การหาเสียงเริ่มจะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่าระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย
ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้
พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลายๆ คนพยายามคิด และพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่าง เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ หรืออะไรอย่างนั้น
แต่ผมรู้สึก และเกิดเป็นความคิดจริงๆ ว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึก และความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และฝ่ายเสรีนิยม ที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า
ผมเห็นจุดอ่อน และจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจากวงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบนี้ให้ได้เสียที
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า มีคำถามว่า ผมจะทำอะไร ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้น ผมทำเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบๆ และโดยใช้ความเป็นผมทั้งหมด เพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วงรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว มาเป็นสองใบ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จาก 500 มาเป็น 100
ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิม เพราะมองไม่เห็นว่าแก้ไขแล้ว พรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร
ขณะที่พรรคการเมืองบางพรรค โจมตี ส.ว. อย่างรุนแรง ทำนองว่าเป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียง สร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค
“อย่างที่รู้ๆ กันว่าแม้แต่ “ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล” ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ เป็นผมเองที่เห็นว่า จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย” พล.อ.ประวิตร ระบุ
แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว. ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดีๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร ตอนนั้นแม้แต่ในพรรคพลังประชารัฐ ยังมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจในแนวทางแบบที่ผมเชื่อว่า ต้องยืนหยัดในหลักประชาธิปไตย แต่ด้วยความเข้าใจในอนุรักษ์นิยม
พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า ลองไปค้นข้อมูลกลับมาดูได้ จะเห็นว่าแม้แต่ “นายกฯ ตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังถูกมองว่าไม่เอาด้วยกับการแก้ไขบัตรเลือกตั้ง โดยช่วงนั้นนักการเมืองที่รู้กันว่าเป็นสายตรงนายกฯ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านชัดเจน เป็นภารกิจที่ยากทีเดียวในการพูดคุยหาทางก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าในหลักการประชาธิปไตย
โดยฟากอนุรักษ์นิยม ให้ความร่วมมือ ทั้งที่ถูกโจมตีหนักจากฝ่ายเสรีนิยม แต่ “ผมทำได้” การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ สำเร็จตามความตั้งใจและลงมือด้วยประสบการณ์ และความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่ายที่ผมสร้างสมมา แม้วันนี้จะมีคนโจมตีว่า ผมเป็นเผด็จการจำแลง ผมก็เพียงบอกตัวเองว่า ผมอาจจะอธิบายจิตวิญญาณประชาธิปไตย ที่มีในตัวผมยังไม่ชัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของผมว่าจะต้องอธิบายต่อไป
“ผมขอยืนยันว่า ถึงวันนี้ประเทศเรายังไม่มีคำตอบอื่น นอกจากทำให้อนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นแก่นของความเป็นชาติ อยู่ด้วยและร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาไปด้วยเสรีนิยมที่มีความคล่องตัว และได้รับการสนับสนุนจากนานาประเทศมากกว่า ซึ่งผมเชื่อว่า ผมทำได้ และผมต้องเป็นคนทำ” พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า เพียงแต่ เมื่อถึงวันนี้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่ง การหาเสียงเลือกตั้งที่มุ่งแต่ชัยชนะ ก่อให้เกิดการโจมตีกันรุนแรง จนมองเห็นแนวโน้มของความแตกแยก ถึงขั้นขับไสไล่ส่งไม่ให้อยู่ร่วมชาติ เกิดขี้นอีกแล้ว ทั้งที่ทุกเรื่องมีวิธีการแก้ไข หากทุกฝ่ายร่วมมือกันคิดทำ โดยก้าวข้ามความขัดแย้ง
“แค่อย่าหักโหมที่จะเอาชนะกัน เสียจนลืมว่าเป็นการดีกว่าหากเปลี่ยนเป็นร่วมมือทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ร่วมกัน ในฐานะประชาชนชาวไทยที่เป็นหนึ่งเดียว ผมขอจบ Facebook ฉบับที่ 10 และในฉบับที่ 11 ผมจะพูดถึงเรื่อง เป็นนายกฯ ต้องให้เกียรติสภาอย่างไร โปรดติดตามครับ” พล.อ.ประวิตร ระบุ