ลูกชายเสพยา 5 วัน 5 คืนไม่หลับไม่นอนจน หลอนและคลุ้มคลั่ง ใช้ปืนตีหัวพ่อและตบย่า จนต้องพากันหนีออกจากบ้าน
เมื่อเวลา 09.30น.วันนี้ (28 พ.ค.) ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับแจ้งเกิดเหตุชายเมายาจนหลอนและคลุ้มคลั่งทำร้ายพ่อและย่าและยังมีอาวุธปืนอยู่ในมือด้วย
ทาง พ.ต.อ.อัครวุฒ ธานีรัตน์ ผู้กำกับการ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จึงรีบสั่งการให้ พ.ต.ท.ชนาวิน รัตนาวิน สารวัตรป้องกันปราบปราม นำกำลังตำรวจสายตรวจควนลัง ชุดปฏิบัติการเวหา ร่วมกับตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธร จ.สงขลา เกือบ 20 นาย เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและควบคุมเหตุการณ์
พบว่าบ้านเกิดเหตุอยู่ริมถนนสายเพชรเกษม เส้นทางหาดใหญ่-รัตภูมิ สายเก่า เป็นบ้านเดียวหลังใหญ่สองชั้นมีรั้วล้อมรอบ โดยมี นายวิฑูรย์ อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและพ่อของชายที่คลุ้่มคลั่งรอพบเจ้าหน้าที่อยู่ข้างๆบ้าน
เบื้องต้น ให้การว่า ลูกชายชื่อ นายวิทวัส อายุ 28 ปี ซึ่งอยู่ในอาการเมายาและคลุ้มคลั่งอยู่ภายในบ้านเพียงคนเดียวและถืออาวุธปืนขนาด .38 อยู่ในมือด้วยซึ่งเป็นปืนของตน
เจ้าหน้าที่จึงต้องวางแผนและปฏิบัติการควบคุมเหตุการณ์ตามขั้นตอน โดยให้ นายวิฑูรย์ ซึ่งเป็นพ่อพยายามโทรศัพท์ไปพูดคุยกับลูกชายเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นและออกมามอบตัว ทำให้ลูกชายเริ่มมีสงบสติอารมณ์ลง
ผู้เป็นพ่อจึงได้เดินเข้าไปหาในบ้าน และลูกชายได้ยอมเปิดประตูออกมาในสภาพที่นุ่งกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวพร้อมกับยื่นอาวุธปืน .38 ให้กับพ่อแต่โดยดีตำรวจจึงได้เข้าไปควบคุมตัวเอาไว้ และยึดอาวุธปืนมาตรวจสอบพบว่ามีกระสุนปืนอยู่เต็มรังเพลิง 5 นัด ในกระเป๋ากางเกง3 นัด และในกระเป๋าซองกระสุนอีก 5 นัด
จากนั้นจึงควบคุม นายวิทวัส ส่งไปตรวจหาสารเสพติดในร่างกายที่โรงพยาบาลหาดใหญ่และรักษาอาการติดยาและอาการทางจิต และรอสอบสวนดำเนินการทางคดี
โดยเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงยุติลงด้วยดีโดยไม่มีความรุนแรงหรือความสูญเสียเกิดขึ้น
จากการสอบถาม นายวิฑูรย์ เล่าว่า ลูกชายติดยางอมแงมเล่นยาเสพติดทุกอย่างโดยเฉพาะยาบ้าและไอซ์ ทำให้เริ่มมีอาการทางจิตประสาทและที่ผ่านมาได้นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ มาแล้ว 2 ครั้งและมีบัตรผู้ป่วยทางจิตเวชด้วย แต่เมื่อ 5 วันที่ผ่านมาเล่นอย่างหนักและไม่หลับไม่นอน สุดท้ายเมื่อคืนนี้เกิดอาการหลอนและคลุ้มคลั่งอย่างหนักใช้ปืนตบหัวตนจนบวมปูดและยังใช้มือตบย่าด้วย
ทำให้เมื่อคืนนี้ตนพร้อมกับภรรยาและแม่ของตนต้องหนีออกจากบ้าน มาอาศัยอยู่ที่บ้านญาติชั่วคราว กระทั่งเช้าจึงได้ประสานขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ให้เข้ามานำตัวลูกชายออกจากบ้านเพื่อไปรักษาอีกครั้ง และโชคดีที่เหตุการณ์จบลงด้วยดี