ไม่ต้องพึ่งกระแส! ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ชวนจับตา ‘ภูมิใจไทย’ ตัวแปรสำคัญกำหนดโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะรวมสูตรไหนจะมีพรรคนี้อยู่ด้วยทั้งหมด
17 เม.ย. 2566 – ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์สูตรการเมือง หลังการเลือกตั้งผ่านมติชนออนไลน์ โดยระบุดังนี้
ตอนนี้ต้องมาดูว่า พรรคเพื่อไทย จะได้ ส.ส.เท่าไหร่ กรณีได้ถึง 220 เสียง มีความเป็นไปได้ว่าจะจับมือกับพรรคขั้วเดียวกัน และจับมือกับพรรคภูมิใจไทย และ พรรคพลังประชารัฐ โดยสูตรนี้จะไม่มีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ในสมการ แต่มองว่าตัว พรรคก้าวไกล อาจจะแสดงสปิริตร่วมโหวตชื่อนายกรัฐมนตรีให้ฝ่ายนี้ เพื่อปิดสวิตช์สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ร่วมโหวต และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไป สูตรนี้ประเมินว่าจะมีคะแนนเสียงรวมกันที่ 340 เสียง
แต่หาก พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนไม่ถึง 220 เสียง จะเป็นโอกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลุกขึ้นมาสู้ทันที โดยชั้นแรก พรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องได้เสียงมากกว่า 25 เสียง ซึ่งคิดว่าทำได้ และน่าจะไปถึง 40 เสียง ซึ่งจะเป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 คือ การเสนอนายกรัฐมนตรีในสภา จะต้องมาจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ หรือจะต้องได้ ส.ส.อย่างน้อย 25 คน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะจับขั้วกับ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคอื่น ๆ ไปจนถึงเจรจากับกลุ่มบ้านใหญ่ ที่โดยธรรมชาติต้องการเป็นรัฐบาล รวมถึงการไปเจรจา ส.ส. อีกขั้วหนึ่ง ทีนี้ จะรวมเสียงได้เกิน 250 เสียง
จะเห็นได้ว่า ทุกสมการต้องมี พรรคภูมิใจไทย อยู่ด้วย ถ้าภูมิใจไทยเลือกอยู่ข้างไหน ข้างนั้นมีโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลสูง แต่ถ้าดูจากประสบการณ์ โอกาสที่จะได้รัฐบาลเดิมนั้น มากกว่าเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลใหม่ เพราะพิสูจน์มาแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ทุ่มให้พรรคภูมิใจไทยขนาดไหน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ที่เป็นกระทรวงเกรดเอ ถามว่าพรรคเพื่อไทย จะยอมทำได้แบบนั้นหรือไม่